แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 傳說之主的夫人 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 傳說之主的夫人 แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559


ชื่อเรื่องภาษาจีน : 傳說之主的夫人 
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Legendary Master's Wife 


ผู้แต่ง : 尹琊 Yin Ya
ผู้แปลฉบับภาษาอังกฤษ : s3ri
อยากอ่านต้นฉบับ : Ver.Chinese  Ver.Eng. 
เรื่องนี้มีแปลไทยมาก่อนแล้ว กดอ่านผู้แปลคือ "Ana I. LD" อาจมีส่วนต่างบ้าง หรือ แปลอาจไม่ดีเท่า ต้องขออภัยคะ

หมายเหตุ : การแปลครั้งนี้แปลจากภาษาอังกฤษ (ผู้แปลไม่มีความรู้ภาษาจีนมากนัก จึงไม่อาจหาญแปลจากต้นฉบับจีน อาจมีการเปลี่ยนเทียบเล็กน้อยคะ) เป็นการแปลเพื่อเป็นการฝึกภาษา และอยากอ่านเอง ถ้ามีขอผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะคะ ไม่ได้มีจุดมั่งหมายในเชิงพาณิชย์ และลิขสิทธิ์เป็นของ "琊 Yin Ya"

รายละเอียดโดยย่อ  : 
หลังจากการระเบิด โหย่วเสี่ยวม้อพบว่าเขาอยู่ในขณะนี้เป็นศิษย์ทดลองของสำนักเทียนซิน อย่างไรก็ตาม เขาเป็นอีกคนหนึ่งอาจเกิดพฤติกรรมน่าสงสัย ดังนั้นเมื่อเขาเริ่มที่จะปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ของเขา เขากลับได้รับข่าวร้าย ถ้าเขาไม่สามารถสร้างผลงานในระดับที่ยอมรับได้ ภายในช่วงหกเดือนหลังจากที่กลายเป็นสาวกอย่างเป็นทางการของสำนักเทียนซิน เขาจะถูกขับออกจากสำนัก... 
ในขณะที่โหย่วเสี่ยวม้อพยายามเต็มที่เพื่อผลิตโอสถและหารายได้ เขาวิ่งเข้าไปในหลิงเซี่ยว แล้วได้พบกับสิ่งที่น่ากลัวสำหรับเขา หลังจากที่เขาค้นพบว่าหลิงเซี่ยวคือคนผู้หนึ่งที่คนที่สวมหนังมนุษย์...


ไม่ได้แปลเรื่องนี้แล้ว เพราะมีผู้อื่นแปลไปแล้วคะ ขออภัยด้วยคะ

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559




              ฟางเฉินเล่อเดินนำเขามายังเรือนสมุนไพร และได้แจ้งให้ศิษย์ที่เป็นยามเฝ้าประตูทราบก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้เขายืนอยู่เพียงลำพัง 
              เนื่องจากทราบว่าโหย่วเสี่ยวม้อถูกพามาที่นี้โดยศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ที่เป็นยามจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก ไม่ทำให้เขารู้สึกอัดอีด เพียงแค่แนะนำหลายจุดสำคัญทั้งหลายและข้อห้ามต่างๆ ที่สำคัญให้ทราบก่อนจะปล่อยให้เขาเข้าไปด้านใน

              เรือนสมุนไพรระดับ1 มีขนาดใหญ่มากนั้น เป็นเพราะเป็นสมุนไพรที่เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่มีความต้องการ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า 
              เมื่อเข้ามาภายในเรือน โหย่วเสี่ยวม้อได้เห็นพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณที่โบกพริ้วไหวไปกับสายลม
              โดยสมุนไพรวิญญาณที่พบส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกหญ้า ที่เขาเคยอ่านในบันทึกคือหญ้าตี่ต้า ที่ลำต้นและใบจะมีสีเขียว ด้านบนดอกจะมีแต้มจุดสีม่วงขนาดเล็กประดับอยู่ สมุนไพรวิญญาณประเภทนี้มีประสิทธิภาพมากเหมาะสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก แต่โดยทั่วไปแล้วพวกตานซือส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้ปรุงโอสถวิญญาณไว้รักษาอาการบาดแผล 
              สำหรับผู้ฝีกตนแล้ว อาการบาดเจ็บภายนอกเป็นเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึ่งไม่นิยมปรุงโอสถวิญญาณเพียงเพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก
               อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ฝึกตนที่เป็นหญิง ไม่ได้คิดเช่นนั้น อย่างที่ทุกคนทราบรักสวยรักงามเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติของสตรีทุกคนอยู่แล้ว
              ด้านข้างของหญ้าตี่ต้าทั้งสองด้านมีต่งหลิงเช่าและดอกนิ๋งเฉิน ซึ่งเป็นสมุนไพรวิญญาณที่มักจะถูกนำมาปรุงโอสถวิญญาณระดับ 1 บ่อยที่สุด ดังนั้นจึ่งมีการปลูกเป็นจำนวนมาก

              โหย่วเสี่ยวม้อนั่งยองๆ ที่ด้านหน้าดอกนิ๋งเฉินพร้อมกับจ้องดูอย่างละเอียด เพราะไม่แน่ใจเขาอาจเห็นภาพลวงตาอยู่
              เขามักจะรู้สึกว่าดอกนิ๋งเฉินที่อยู่ด้านมือซ้ายของเขาค่อนข้างไม่มีจิตวิญญาณ ในขณะที่ดอกนิ๋งเฉินทางขวามือดูจะเบ่งบานอย่างงดงามมากแถมยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ลำต้นและใบของต้นด้านขวาดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยหมอกสีขาวเป็นชั้นบางๆ ซึ่งเขาก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
              กวาดตามองดอกนิ๋งเฉินที่อยู่รอบๆ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีสภาพสวยงามมากนัก 
              ที่สำคัญที่สุดคือ สมุนไพรชนิดอื่นที่อยู่รอบๆ ดอกนิ๋งเฉิน ก็ไม่มีหมอกสีขาวห่อหุ้มบริเวณลำต้นและผิวใบ โหย่วเสี่ยวม้อมองดูด้วยความสับสน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เพราะเขาไม่สามารถตรวจสอบสิ่งที่เขาเห็นได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เขาจึ่งย้ายไปยังบริเวณอื่นแทน

              โดยไม่คาดคิด เขาก็ค้นพบสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีลักษณะคล้ายกันอีก 5 ต้นในเรือนเพาะสมุนไพรต่งหลิงเช่า คงไม่มีข้อยกเว้นที่ว่าสมุนไพรที่มีหมอกสีขาวห่อหุ้มจะเติบโตเบ่งบานได้สดสวยและยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ดูมีชีวิตชีวามาก
              น่าเสียดายที่โหย่วเสี่ยวม้อไม่ได้มีความเข้าอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่ามันมีสามารถทำอะไรได้บ้าง
              แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่งมสักทีเดียว ดังนั้นเขาสามารถคาดเดาได้รางๆ ว่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นต้นที่มีคุณภาพดีที่สุด ต่อจากนั้นโหย่วเสี่ยวม้อก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปทันที

              แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้นัดพวกเขาให้ร่วมกลุ่มกันอีกครั้งภายหลังจากที่แยกกันได้หนึ่งชั่วยาม อย่างไรก็ตามโหย่วเสี่ยวม้อได้ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว เพราะเขามั่วแต่สนใจที่จะสังเกตและตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณ
              รอจนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาหันไปพบว่าศิษย์พี่ใหญ่จะยืนอยู่ข้างหลังเขาและยิ้มเล็กน้อย
              โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกประหลาดใจเพียงครู่ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าถึงตระหนักว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว จึ่งรีบกล่าวขอโทษ "ข้าขออภัยศิษย์พี่ใหญ่ ที่ขะ..ข้าลืมเรื่องเวลานัด"

              ฟางเฉินเล่อไม่ได้กล่าวตำหนิเขา เพียงแต่ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "หาได้ยากยิ่งนักที่จะได้พบศิษย์น้องรุ่นใหม่ที่จริงจังมากแบบนี้ ศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกยินดีมาก โชคดีที่ครั้งนี้เป็นเพียงบทเรียนพื้นฐาน มีเนื้อหาไม่มากนัก ข้ายินดีที่จะพูดให้เจ้าฟังอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งหน้าเจ้าควรไปให้ตรงเวลา" 

              โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาได้แต่กล่าวเพียง "ขอบคุณขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่" เท่านั้น

              พวกเขาเดินกลับมายังเรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณ ฟางเฉินเล่อก็ทำการสอนบทเรียนให้เขาเพียงลำพังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ เขาได้สอนเรื่องพื้นฐานของสมุนไพรวิญญาณ ในครั้งนี้เขาจะสอนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันคือ พื้นฐานการเป็นตานซือ
              เหล่าผู้ฝึกยุทธ์และตานซือในแผ่นดินหลงเซียงเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปคือ 1 ใน 100  อย่างไรก็ตามจำนวนประชาชนของแผ่นดินหลงเซียง มีมากเป็นล้านล้านคน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนจำนวนของตานซือ แต่ปัญหาการขาดแคลนที่แท้จริงอยู่ที่จำนวนของตานซือระดับสูงนั้นมีน้อยยิ่งนัก 
              ตานซือระดับกลางไปจนถึงตานซือระดับสูงนั้นมีช่องว่างอยู่ เหล่าตานซือระดับกลางจำนวนมากที่ทั้งหลายไม่มีความสามารถก้าวข้ามไปผ่านไปได้
              ทั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดและสีของจิตวิญญาณที่มีมาตั้งแต่ต้นของเหล่าตานซือมาเกี่ยวข้องด้วย ระดับของจิตวิญญาณจะสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตของเหล่าตานซือได้ แต่จิตวิญญาณระดับสูงนั้นจะปรากฎเป็นจำนวนน้อย จึงหายากมาก ยกตัวอย่างเช่น โหย่วเสี่ยวม้อและเหล่าศิษย์ร่วมสำนักเทียนซินรุ่นเดียวกัน ที่พวกเขาทั้งหมดนับสิบคนมาจากถิ่นเดียวกัน แต่มีเพียงเจียงหลิวเท่านั้นที่มีจิตวิญญาณสีฟ้า 
              อย่างไรก็ตามผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ำไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่สามารถโผล่หัวขึ้นมาอยู่ในอันดับสูงได้ 
              ในทุกอย่างต่างก็มีข้อยกเว้นเป็นพิเศษภายในตัวเองเสมอ ก็คือเหล่าผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษหรือเหนือกว่าผู้อื่น ดังนั้นแม้แต่เหล่าตานซือระดับต่ำ ก็ยังมีสิ่งที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จอยู่ในตัว

              "ศิษย์พี่ใหญ่ เหล่าตานซือระดับต่ำสามารถปรุงได้เพียงโอสถวิญญาณระดับต่ำกว่าเท่านั้น แต่เหล่าตานซือระดับต่ำจำนวนมากก็สามารถปรุงโอสถวิญญาณในระดับเดียวกันได้ เฉพาะโอสถวิญญาณระดับสูงเท่านั้นที่หายากจึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีราคาแพง นี้จะสามารถเรียกได้อย่างไรว่าประสบความสำเร็จแล้ว?" โหย่วเสี่ยวม้อถามด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ

              ใบหน้าของฟางเฉินเล่อปรากฎรอยยิ้มถึงนัยน์ตาแล้ว ราวกับได้คาดไว้แล้วว่าเขาจะมีคำถามเช่นนี้ "ศิษย์น้องเล็กจำเป็นต้องทราบว่า ทำไมทุกๆ สิ่งล้วนแต่มีจุดเด่นจุดด้อยในตนเองทั้งนั้น" 

              โหย่วเสี่ยวม้อฟังแล้วก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดก็ประกายสว่างวาบในสมอง "หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่คุณภาพของโอสถวิญญาณงั้นหรือ?" 

              "ถูกต้องแล้ว เจ้าสามารถคิดได้เร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะฉลาดไม่น้อย" 

              ฟางเฉินเล่อพยักหน้าด้วยความพอใจ ที่เขาชื่นชมศิษย์น้องเล็กเพราะก่อนหน้านี้เขาได้ถามศิษย์รุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่นกัน แต่พวกเขาไม่สามารถตอบได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ 

              โหย่วเสี่ยวม้อก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความอาย ใบหูบางส่วนกลายเป็นสีแดง แม้เขาจะไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำชมเหล่านั้น
              หลังจากคิดได้สักพัก เขาไม่กล้าที่จะบอกกว่าตนเองมาจากยุคอนาคตเช่นนั้นแล้วเขาจึงเข้าใจถึงความสำคัญของปัญหานี้ เพราะในยุคนั้นสินค้าถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปัญหาเรื่องคุณภาพคือสิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงถึงเป็นหลัก บางคนก็กังวลว่าจะซื้อของปลอมจึงต้องดำเนินการตรวจสอบและศึกษาสินค้าชินนั้นอย่างละเอียด เช่นคนแบบเขาเอง!
              
              "คุณภาพของโอสถวิญญาณจะดีหรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับสภาพสมุนไพรวิญญาณ ถ้าเจ้าใช้สมุนไพรวิญญาณที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีในตอนปลูกแล้ว เมื่อนำไปปรุงเป็นโอสถวิญญาณแล้วคุณภาพของโอสถนั้นก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นการรซื้อขายโอสถวิญญาณจึงมีการแบ่งย่อยออกอีกสามระดับคือ โอสถวิญญาณระดับด้อย ระดับกลาง และระดับสุดยอด ซึ่งระดับสุดยอดเท่านั้นถึงจะถือว่ามีคุณภาพดีที่สุด"

              "เป็นเช่นนั้นนี้เอง" โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างปรากฎวาบขึ้นมาในจินตนาการของเขา แต่เมื่อเขาต้องการที่จะจับความรู้สึกนั้นมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว 
              สัญชาตญาณของโหย่วเสี่ยวม้อบอกกับตนเองว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมาก แต่เขาล้มเหลวก่อนที่จะคิดออก แล้วมันห็เลื่อนหายไปเสมอ จนเมื่อถึงเวลาสิ้นสุดบทเรียนของวันนี้ เมื่อเขากำลังจะเดินกลับไปที่ห้องของเขา ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา 'อ๊ะ'

              "หรือว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาเห็นในตอนเช้ากันนะ?"

__________________________________________
跌打草 Diē dǎ cǎo หญ้าตี่ต้า 

冬凌草 Dong Ling Cao ต่งหลิงเช่า
อ่านเพิ่มที่หน้าชื่อนะ

ขออภัยที่ล่าช้า เนื่องจากติดใจต้องชื่อสมุนไพร ต้องพยายามท่องว่า มันเป็นนิยาย แต่ก็ยังเลิกนิสัยขุดหาความหมายจริงๆของมันไม่ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เราคิดว่าคนเขียนน่าจะเอาของจริงมาใส่นะคะ

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559



01 ส่งเสี่ยวม้อมาให้หายคิดถึง

02

03 

04


05

06

07

ตอนนี้หนูเสี่ยวม้อ ไม่สนใจพระเอกเลย มุ่งแต่คัมภีร์ ฮ่าๆ น่ารักเนอะ

เจอกันอีกครั้งเมื่อทางจีนออกตอนที่ 3 นะคะ
(ไม่รู้เมื่อไร เพราะท่าทางกำลังยุ่งมั้ง)


Credit

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559


ในวันถัดมา โหย่วเสี่ยวม้อเดินตามเหล่าศิษย์พี่ มีที่ห้องโถงของเรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณ
เรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญมากที่สุดในตำหนักเตาเฟิง ที่ซึ่งลูกศิษย์เท่าคนต้องมาเป็นประจำทุกวัน
ศิษย์พี่หลี่รับผิดชอบในการพาพวกเราชม แต่เพราะเขาได้รับมอบหมายงานอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาที่จะมาสอนพวกเรา มันช่างบังเอิญที่ศิษย์พี่ใหญ่กำลังว่างงาน ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่เสนอตัวเป็นคนดูแลพวกเราแทน

"เนื่องจากนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเจ้าทั้งหมดได้พบกับสิ่งเหล่านี้ ข้าจะยังไม่พูดเรื่องที่มันซับซ้อน ขอเริ่มต้นจากพื้นฐานก่อนเลยละกัน สิ่งที่อยู่ด้านหน้าพวกเจ้าเรียกว่า สมุนไพรวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปรุงโอสถทิพย์ เข้ามาดูใกล้ๆ"

ในขณะที่พูดฟางเฉินเล่อก็นำกระถางสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังเขาออกมาวางที่ด้านหน้าพวกเราทีละกระถาง
โหย่วเสี่ยวม้ออยากรู้อยากเห็นเหมือนคนอื่นๆ พยายามจ้องมองไปที่สมุนไพรวิญญาณในกระถางใบเล็กนี้ 
สมุนไพรวิญญาณเป็นชื่อเรียกโดยทั้วไปของวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถวิญญาณ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของวัตถุดิบโอสถวิญญาณที่จะมาจากสมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น กระถางที่สองจากทางซ้ายมือ คือ สมุนไพรวิญญาณระดับ1 ดอกนิ๋งเฉิน

จากนั้นฟางเฉินเล่อก็อธิบายให้พวกเขารู้จักกับระดับของสมุนไพรวิญญาณ
คล้ายกับเหล่าตานซือ สมุนไพรวิญญาณก็มีการจัดเป็นหมวดหมู่ตามระดับ  จากระดับ1-12 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของสมุนไพรวิญญาณ ยิ่งระดับสูงก็จะสามารถปรุงโอสถทิพย์ได้ระดับสูงเช่นกัน แต่ก็ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับระดับของตานซือเช่นกัน
ตานซือระดับต่ำจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ในระดับหนึ่งถึงสามได้
ตานซือระดับกลางจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ในระดับหนึ่งถึงหกได้
และสำหรับตานซือระดับสูง พวกเขาคือกลุ่มคนที่น่าอิจฉาที่สุดในแผ่นดินหลงเซียง นอกจากนี้ยังไปกลุ่มที่สร้างกำไรได้มากที่สุด เพราะพวกเขาสามารถปรุงโอสถทิพย์ในระดับหนึ่งถึงสิบได้ แต่การปรุงโอสถทิพย์ระดับสูงนั้นอัตราความสำเร็จจะลดลง ยิ่งสูงมากโอกาสที่จะสำเร็จยิ่งน้อย 
ตัวอย่างเช่น การปรุงโอสถทิพย์ระดับเก้าและระดับสิบ แม้แต่ตานซือระดับสูงที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมานาน พวกเขายังไม่สามารถรับประกันได้ว่าการปรุงโอสถจะประสบความสำเร็จถึงร้อยละสิบหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาสมุนไพรวิญญาณที่เป็นส่วนประกอบของโอสถทิพย์ที่หาได้ยากยิ่ง

ที่เหนือกว่านั้นยังมีโอสถทิพย์ระดับสิบเอ็ดและระดับสิบสองสมุนไพรวิญญาณ ซึ่งของทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นของในระดับตำนาน
มันเป็นเรื่องเล่าขานกันมานานว่า มีเพียงตานซือที่มีจิตวิญญาณเจ็ดสีในตำนานที่จะสามารถปรุงโอสถทิพย์ทั้งสองออกมาได้ อย่างไรก็แล้วแต่พวกเขายังไม่เคยพบตานซือคนใดที่จะมีจิตวิญญาณถึงเจ็ดสีในแผ่นดินหลงเซียงตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านไปนั้น มันยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานและตำนานที่ยังคงอยู่เท่านั้น
แต่ถึงแม้ตำนานจะกลายเป็นจริง แต่การค้นหาสมุนไพรวิญญาณระดับสิบเอ็ดและสิบสองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

เรื่องเล่านี้โหย่วเสี่ยวม้อเคยอ่านผ่านตามาแล้วทั้งหมดในคัมภีร์ที่เขายืมมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงตั้งใจฟังศิษย์พี่ใหญ่อธิบายอย่างรอบครอบ เพื่อจะได้รวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น และยังเกิดประโยชน์สำหรับตัวเขาเองด้วย
ฟางเฉินเล่อสังเกตุพฤติกรรมของศิษย์น้องเล็กอย่างละเอียด ผงกหัวอย่างพอใจ 
แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐาน สามารถค้นหาได้ง่ายในคัมภีร์ เพราะเหตุนี้ เมื่อเขาถ่ายทอดไปยังศิษย์ใหม่ทั้งหลาย จึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่จะพบกับการอดทนฟังอย่างตั้งใจและจริงจังของศิษย์น้องเล็ก ฟางเฉินเล่อจึงอดที่จะสนใจในตัวเขาไม่ได้

"สำหรับตอนนี้ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทำความคุ้นเคยสมุนไพรวิญญาณระดับ1 แล้วอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าจะกลับมาอธิบายสิ่งสำคัญเกี่ยวกับเหล่าตานซือ" 
จากนั้นฟางเฉินเล่อก็ปล่อยให้บรรดาศิษย์แยกย้ายไปสำรวจ 
โหย่วเสี่ยวม้อเห็นเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายรีบเข้าไปสำรวจสมุนไพรวิญญาณ ก็ส่งเสียงเรียกให้ฟางเฉินเล่อหยุดก่อน 
ฟางเฉินเล่อได้ยินเสียงที่นุ่มหูและไพเราะมาจากด้านหลังของเขา จึงหันหลังกลับเขาได้พบกับศิษย์น้องเล็กที่ตั้งใจอย่างจริงจัง ดวงตาทั้งสองสีดำสนิทกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างคาดหวังอย่างกับลูกหมารออาหาร อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำเล็กน้อย

"ศิษย์น้องเสี่ยวม้อ มีอะไรให้ช่วยข้าไหม?" 

โหย่วเสี่ยวม้อไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะจำชื่อของเขาได้ จึงหลบตาอย่างอายๆ แล้วกล่าวว่า "ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากไปดูเรือนเพาะชำสมุนไพรสักครั้ง ไม่ทราบว่า?"

ฟางเฉินเล่อชะงักไปสักครู่ จ้องมองโหย่วเสี่ยวม้ออย่างพินิจ ในที่สุดเค้าก็พยักหน้า "แน่นอนว่าเจ้าสามารถไปได้ แต่เดิมข้ากังวลว่าข้อมูลที่ข้าบอกไปในวันนี้จะมากเกินจนอาจจะกลายเป็นภาระที่หนักเกินสำหรับพวกเจ้า แต่เนื่องจากเป็นคำขอของเจ้าเองก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้แค่เรือนเพาะชำสมุนไพรระดับ1 เท่านั้น"

"ขอบคุณขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่" โหย่วเสี่ยวม้อรีบกล่าวขอบคุณอย่างดีใจ

ฟางเฉินเล่อยิ้มและบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ และนำทางเขาไปที่นั้น 

เรือนเพาะชำสมุนไพรหลักเป็นที่ที่สำคัญที่สุดในสำนักเทียนซิน. หากสำนักใดต้องการวางแผนการขยายสำนักในระยะยาวจำเป็นจะต้องมีเรือนเพาะชำเป็นของสำนักเอง ดังนั้นเรือนเพาะชำสมุนไพรจึงเป็นเขตหวงห้าม ยกเว้นจะได้รับอนุญาตโดยตรงจากท่านประมุข มิฉะนั้นผู้ที่สามารถเข้าออกได้มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายของสำนักที่ทำหน้าที่ดูแลเรือนเพาะชำสมุนไพรเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปภายในได้
แต่เรือนเพาะชำสมุนไพรหลักจะปลูกเพียงสมุนไพรวิญญาณที่เหนือกว่าระดับห้าขึ้นไป ดังนั้นศิษย์ในสำนักจะสามารถเข้าไปด้านได้แค่สวนสมุนไพรที่สมุนไพรวิญญาณระดับห้าลงมาเท่านั้น

ตำหนักหลักทั้งสามของฝ่ายตานซือเองก็จะมีเรือนเพาะชำให้ 5 เรือนต่อตำหนัก เพื่อไว้สำหรับเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณระดับ1 ถึง 5 โดยหนึ่งเรือนสำหรับหนึ่งระดับ

สำหรับโหย่วเสี่ยวม้อที่เป็นแค่ศิษย์ลับรุ่นใหม่ ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าได้แค่สวนสมุนไพรวิญญาณระดับ1

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สวัสดีค่ะ สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ทดลองแปล โดยแปลจากต้นฉบับภาษาจีน ถ้าหากผิดพลาดตรงไหนรบกวนแจ้งด้วยนะคะ ส่วนลิงค์ต้นฉบับใส่ไว้ที่หน้าแรกแล้วคะ 
วิธีดูว่าอัพยัง ดูที่ตัวเลขด้านบนชื่อเรื่องนะคะ
การแปลครั้งนี้ไม่ได้ในไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด และถ้ามีใครทักเรื่องลิขสิทธิ์จะทำการลบออกให้ทันทีคะ 


รายละเอียด (คล้ายในส่วนนิยาย) : หลังจากการระเบิด โหย่วเสี่ยวม้อพบว่าเขาอยู่ในขณะนี้เป็นศิษย์ทดลองของพรรคเทียนซิน แต่มีพลังแฝงไม่สูง เขาพยายามปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ของเขา กลับได้ยินข่าวร้าย ถ้าเขาไม่สามารถสร้างผลงานในระดับที่ยอมรับได้ ภายในช่วงหกเดือนหลังจากที่กลายเป็นสาวกอย่างเป็นทางการของพรรคเทียนซิน เขาจะถูกขับออกจากพรรค... 
ในขณะที่โหย่วเสี่ยวม้อพยายามเต็มที่
เพื่อเตรียมให้พร้อมที่จะหาเงินในการเดินทาง โหย่วเสี่ยวม้อกลับได้พบสิ่งที่น่ากลัวสำหรับเขา หลังจากที่เขาค้นพบว่าหลิงเซี่ยวคือคนผู้หนึ่งที่คนที่สวมหนังมนุษย์...
เว็บหลัก : u17.com-comic

001 กลายเป็นโหย่วเสี่ยวม้อ
002 เปิดตัวศิษย์พี่ใหญ่
สารบัญ 傳說之主的夫人 - Legendary Master's Wife (แปล)



000 ตัวละคร 26
001 จิตวิญญาณของตานซือ 27
002 ฝ่ายคลัง 28
003 หอคัมภีร์ 29
004 ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องหญิง 30
005 หอรวมพลตานซือ 31
006 โคว่เหวิน 32
007 ปานฟ้าคราม 33
008 ร้อยละ 34
009 จิตวิญญาณในตำนาน 35
010 การค้นพบในเรือนสมุนไพร 36
011 再遇‘熟人’ (กำลังแปล) 37
012 灵丹的风险 (กำลังแปล) 38
013 灵魂之力 (กำลังแปล) 39
014 任重而道远 (กำลังแปล) 40
015 空间的发现 (กำลังแปล) 41
016 控制力 (กำลังแปล) 42
017 第一次出风头 (กำลังแปล) 43
018 成功率 (กำลังแปล) 44
019 下山前 (กำลังแปล) 45
020 聚气丹 (กำลังแปล) 51



ตูม!!!!!
เงาคนผู้หนึ่งกำลังล่วงจากท้องฟ้า ตกลงมากระแทกกับผิวน้ำสีหยกจนน้ำกระจายแตกเป็นวงคลื่นใหญ่
น้ำเย็นยะเยือกหนาวเข้ากระดูกท่วมมิดหัวเขาในทันที โหย่วเสี่ยวม้อสติแตก สองมือสองขาพยายามตระกายน้ำอย่างเปล่าประโยชน์ เขาตีน้ำที่อยู่รอบๆ และคิดว่าตนเองได้ตกมาใอยู่ในทะเล 
ให้ตายเถอะ!! เขาว่ายน้ำเป็นเสียเมื่อไรกัน!?
โหย่วเสี่ยวม้อคิดอย่างหมดหวัง อย่าบอกนะว่าเขาจะจมน้ำตายหลังจากที่ได้ข้ามมามิตินี้?
หัวใจเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ ได้แต่ไว้อาลัยในชีวิตอันแสนสั้นของตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะได้เป็นผีสองโลก
เมื่อคิดดูแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็ปลงตกและหยุดดิ้นรน อย่างไรก็ตามในไม่ช้าหรือเร็วตาย ตายตายไปซะ จะตายช้าหน่อยหรือเร็วหน่อยไม่แตกต่าง ตอนนี้เขาเตรียมใจที่จะต้องตายแล้ว เขาได้แต่หวังว่าชาติหน้าเขาคงจะไม่ต้องอายุสั้น ตายก่อนเวลาอันควรเช่นในชาตินี้

ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลาย โหย่วเสี่ยวม้อเฝ้ารอให้ถึงเวลาที่เขาจะต้องจมน้ำตายอย่างช้าๆ
อาจเป็นเพราะเขาปลงตกแล้ว ทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขารีบลืมตามองไปรอบๆ แล้วพบความน่าตกตะลึง แท้จริงแล้วน้ำลึกแค่เอว -_-||.......

โหย่วเสี่ยวม้อค้นพบว่าแท้จริงแล้วตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องของเขาอีกต่อไปแล้ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ ภาพที่เข้ามาในการมองเห็นขอเขากลับเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตา หนึ่งในห้าของพื้นที่ถูกคลุมด้วยทะเลสาบ ที่เขากำลังยืนอยู่
มันเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดมาก ก้อนเมฆสีขาวและท้องฟ้าสีฟ้าที่ดูสดใส ดั่งวันที่อากาศปลอดโปร่ง แต่กลับไม่มองไม่เห็นดวงตะวัน
หลังจากมองดูโดยรอบอย่างละเอียด เขาพบว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ก้อนเมฆสีขาวไม่มีการขยับ ไม่รู้สึกสัมผัสและเสียงของสายลมที่พัดในอากาศ ยอดหญ้าที่อยู่บนพื้นดินก็ไม่มีการสั่นไหวเหมือนดังต้องลม แม้ว่าร่างกายของเขาที่อยู่ในทะเลสาบก็ยังไม่มีแม้ร่องรอยของระลอกคลื่น

โหย่วเสี่ยวม้อก้มลงมองหยดน้ำตาสีครามที่ยังคงอยู่บนหน้าอกของเขา 
เป็นไปได้ว่าที่เขามาอยู่ที่นี้ก็เพราะเขาไปแตะถูกมันหรือ? คิดได้ดังนั้น เขาก็ลองเอามือไปแตะอีกครั้ง
โดยไม่ทันตั้งตัว ความมืดก็เข้าปกคลุมไปทั่ว ทำให้เขามองอะไรไม่เห็น 'ตูม!!!' เสียงน้ำกระจาย และเขาก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในอ่างน้ำร้อน
ร่างกายที่เย็นของเขาจากการที่แช่อยู่น้ำในทะเลสาบ ทันใดนั้นก็ค่อยๆ เริ่มอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ

โหย่วเสี่ยวม้อมองไปที่หน้าอกของเขาที่ยังมีหยดน้ำสีคราม เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมันไว้ก่อน เขารีบอาบน้ำต่อให้เสร็จและลุกขึ้นแต่งตัวด้วยชุดที่เตรียมไว้
เขาอาจคิดไปเอง แต่เขารู้สึกกระปี้กระเปร่ามากกว่าก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นเขานำน้ำในถังอาบไปเททิ้งด้านนอก โหย่วเสี่ยวม้อเทน้ำไม่กี่ครั้งก็สามารถระบายน้ำออกหมด ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด ทำให้มองอะไรได้ไม่ค่อยชัดนัก เห็นเพียงแต่เหล่าลูกศิษย์ที่เป็นเวรยามกำลังลาดตระเวณ
เพราะเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี้เป็นวันแรก ยังคงไม่คุ้นกับบรรยากาศโดยรอบ ดังนั้นโหย่วเสี่ยวม้อจึงไม่กล้าที่จะเดินออกไปไหนเพียงลำพัง
หลังจากเทน้ำในถังเสร็จแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็เดินกลับห้องพักของเขา เขาจุดเทียนเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้นภายในห้องและหยิบคัมภีร์ขึ้นมากอ่านต่อบนโต๊ะของเขา

กล่าวถึงเหล่าตานซือ แม้ว่าสำนักเทียนซินจะมีตำหนักใหญ่ถึง 3 ตำหนัก แต่แท้จริงแล้ว ก็มีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่จะก้าวไปถึงการเป็นตานซือได้ 
ปัญหาของเรื่องนี้มิใช่ขาดอดทนพยายามในการฝึกฝน แต่เป็นที่พรสวรรค์ตั้งแต่เกิดของจิตวิญญาณที่มีอยู่ในแต่ละคน
การจะหาผู้ที่จะมีสิทธิ์เป็นตานซือ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการทดสอบจิตวิญญาณของเขา มีเพียงจิตวิญญาณที่แสดงสีในการทดสอบเท่านั้นที่จะกลายเป็นตานซื้อได้ สำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีสีของจิตวิญญาณ

บนแผ่นดินหลงเซียงมีผู้คนนับพันนับหมื่น อย่างไรก็ดีผู้ที่มีสีของจิตวิญญาณยังคืดเป็นร้อยละหนึ่งของผู้คน 
ดังคำกล่าวว่า เพียงแค่หนึ่งในร้อยเท่านั้นที่จะสามารถกลายเป็นตานซือได้ นอกจากนี้ ผู้ที่กลายเป็นตานซือได้นันอาจจะไม่ได้เป็นตานซือระดับสูง ทั้งชีวิตอาจะเป็นได้แค่ตานซือระดับต่ำ 
ชัดเจนว่า ตานซือบนแผ่นดินหลงเซียงก็ยังหายากยิ่งนัก 
ตั้งแต่ที่มีวิธีการตรวจสอบสีของจิตวิญญาณที่ได้การยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในการระบุระดับพรสวรรค์ของตานซือ ดังนั้นในตอนนี้ทุกสำนักจะต้องมีผลึกสีขาวอย่างน้อยขนาดเล็กเท่าชามข้าวไว้เป็นการทดสอบจิตวิญญาณของเหล่าผู้มาสมัครในสำนัก
ดังนั้น ด้วยเหตุนี้โหย่วเสี่ยวม้อจึงสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหามาได้ เพราะหลังจากเขาเข้ามาในสำนักเทียนซินได้สำเร็จ และกลายเป็นศิษย์ลับ เขาจะไม่ต้องเข้ารับการทดสอบจิตวิญญาณอีก 
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ไป ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของเขาเอง

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559



ตำหนักเตาเฟิงมีห้องอยู่มากมาย แต่ละห้องมีขนาดใหญ่กว่าห้องพักที่โหย่วเสี่ยวม้อเคยอยู่มาก่อน 
แต่ก็ยังคงรูปแบบการตกแต่งด้านในก็ยังดูเรียบง่ายเหมือนเดิม ที่แตกต่างกันคือมีฉากกันลายธรรมดาและถังน้ำขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง เพิ่มขึ้นมา ฉากกันนี้ตั้งขวางทางประตู เพื่อปิดกั้นการมองเห็นของผู้อื่น
โหย่วเสี่ยวม้อทำการย้ายเข้ามาอยู่ภายในวันนั้นเลย เขามีสมบัติติดตัวอยู่เล็กน้อย มีเสื้อผ้า 2 ชุดกับคัมภีร์ที่ยืมมาอีก 4 เล่ม 
เขายังไม่มีคิดที่จะนำคัมภีร์ไม่คืนที่หอคำภีร์ เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเพราะต้องหาทางเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในวันนี้ เขาจำต้องฝืนกล่ำกลืนเนื้อหาทั้งหมดให้เข้าไปในสมองของเขา ไม่ได้มีเวลาที่จะแยกแยะเนื้อหา นอกจากนั้นก็ตัวเขาเองก็เริ่มที่จะจำเนื้อหาบางส่วนไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาในการยืมคัมภีร์จากหอคัมภีร์ยังเหลืออีกตั้งครึ่งเดือน

โหย่วเสี่ยวม้อจัดเสื้อผ้าและคัมภีร์ใส่ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เริ่มที่จะทำความสะอาดห้องพัก
บางทีอาจจะไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนี้มานานแล้ว ทำให้มักจะไม่มีใครค่อยทำความสะอาดอยู่เสมอ ดังนั้นบริเวณพื้น โต๊ะ เก้าอี้และเตียงนอนจึงเคลือบด้วยฝุ่น โหย่วเสี่ยวม้อลองลองใช้นิ้วลูบดู ฝุ่นละอองจับตัวกันจริงค่อนข้างหนา


 ถังไม้ขนาดเล็กประมาณนี้

ในห้องพักมีถังไม้ขนาดเล็กที่ใช้สำหรับล้างน้ำ โหย่วเสี่ยวม้อใช้มันในการไปตักน้ำสะอาดมาจากด้านนอก เช็ดถูประมาณครึ่งชั่วยามก็ทำความสะอาดห้องจนเสร็จ  
แต่กว่าจะเสร็จ ดวงตะวันก็หลบหลังภูเขาทั้งดวงแล้ว 

หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์พี่หลีก็มาเรียกเขาพร้อมกับศิษย์ใหม่คนอื่นไปทานอาหารเย็น
ตำหนักเตาเฟิงมีเรือนอาหารแยกเฉพาะ สำหรับทานอาหารสามมื้อต่อวัน เหล่าลูกศิษย์จำนวนมากที่นี้กำลังทานอาหาร อย่างไรก็ตามมีลูกศิษย์บางส่วนที่งดอาหาร ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาทานอาหาร 
การจัดวางอาหารของเรือนคล้ายกับงานเลี้ยงบุฟเฟต์ในสมัยใหม่ อาหารทั้งสามมื้อจะถูกปรุงให้สุกก่อนแล้วจัดใส่หม้อใบใหญ่ 
เหล่าลูกศิษย์จะสามารถเลือกตักอาหารที่อยากทานด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งอาหาร เรือนอาหารมีกฎข้อสำคัญอยู่หนึ่งข้อ คือ เจ้าสามารถจะตักอาหารเท่าที่ต้องการได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถทานหมด อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้มีการทิ้งอาหาร เรือนอาหารจึงมีรหัสชุดหนึ่งในการรับอาหาร ถ้ามีการพบว่าทานอาหารเหลือหรือทิ้งเจ้าจะต้องได้รับโทษ

โหย่วเสี่ยวม้อเดินตามศิษย์พี่หลี่เพื่อรับชามอาหาร แต่เนื่องจากเขาไม่ค่อยอยากอาหาร ดังนั้นเขาจึงตักอาหารน้อยกว่าปกติ 
ขณะที่เขากำลังจะเริ่มทานอาหาร ก็เกิดวุ่นวายเล็กๆ ตรงทางเข้า 
โหย่วเสี่ยวม้อยกหัวและเงยหน้าขึ้นมามอง ดูเหมือนศิษย์พี่ฟางเฉินเล่อกำลังเดินเข้ามา เมื่อเขามาถึงหลายคนรีบเข้าไปทักทายเขาทันที มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้รับความนิยมมากในตำหนักเตาเฟิง ไม่แน่ว่าเขาเป็นรองจากอาจารย์โคว่เหวินเท่านั้น

หลังทานอาหารเย็น โหย่วเลี่ยวม้อรีบกลับไปห้องเขา 
กำลังนึกว่าเขายังไม่ได้อาบน้ำ เขานำชุดออกมาจากตู้เสื้อผ้าหนึ่งชุดและวางไว้บนม้านั่งตัวเล็กใกล้กับถังอาบน้ำ 
แท้จริงแล้วในสำนักเทียนซินมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ แต่มันตั้งอยู่ไกลมากจากที่นี้ ดังนั้นคนส่วนมากจะไปตักน้ำร้อนกลับมาอาบที่ห้อง ในระหว่างวันศิษย์พี่หลี่ได้บอกี่ตั้งของบ่อน้ำร้อนแก่พวกเขาแล้ว ดังนั้นโหย่วเสี่ยวม้อจึงรู้จักทางไป ต้องเดินทางไปกลับถึง 4-5 รอบ ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อก็สามารถเติมน้ำให้เต็มถังได้ 
โหย่วเสี่ยวม้อปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ปิดประตู ถอดเสื้อผ้าของเขาออก และค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปแช่ในถังน้ำ อุณหภูมิของน้ำสูงในตอนนี้กำลังดี ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของร่างกายเขาชนิดที่ทำให้เขารู้สึกง่วงนอน
โหย่วเสี่ยวม้อต้องใช้ความพยายามยากมากที่จะตื่นขี้นมา ใช้ผ้าขนหนูขัดถูเบาๆ ตามมือและขาของเขา

ในขณะที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจ หลังจากการแช่น้ำก็มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับปานค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างช้าๆ บริเวณหน้าอกของเขา มีลักษณะเหมือนหยดน้ำตาสีคราม ก่อนที่เฉดสีของมันจะค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นโหย่วเสี่ยวม้อก็รู้สึกร้อนมากขึ้นตรงอกของเขา เมื่อมองลงไป เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ได้แต่มองด้วยความประหลาดใจ
เดี่ยวนะ เมื่อไรกันที่เขามีปานบนหน้าอก แถมนอกจากนั้นมันยังเป็นสีคราม มันไม่แปลกประหลาดมากเกินไปหรอ ขณะที่กำลังมองแสงสว่างหยุดลง เขาจึงสังเกตมันอีกที มันดูราวกับหยดน้ำสดใสเหมือนจะออกจากหน้าอกของเขา โหย่วเสี่ยวม้อไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ค่อยๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสมัน....

สองอึดใจต่อมา โหย่วเสี่ยวม้อผู้ซึ่งกำลังอาบน้ำในถังก็หายตัวไปทันที
น้ำร้อนกระเพื่อมเบาๆ ไม่อีกครั้ง ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง คล้ายกับว่าโหย่วเสี่ยวม้อไม่เคยแช่น้ำอยู่ ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ


วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


เสียงคำรามที่ดังทั่วหอรวมพล ทำให้เสียงพูดคุยทั้งหมดเงิยบลงในทันที

โหย่วเสี่ยวม้อเฝ้ามองและค้นพบต้นต่อของเสียงคำรามที่ดังมาจากชายหนุ่มที่เป็นหนึ่งในกลุ่มคนนำทางมาที่นี้ เขาคือคนที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนเฉยชาจะมีพลังเสียงมากขนาดนี้ แม้จะเป็นคำสั้นๆ และกระชับได้ใจความมาก

สาเหตุของคำพูดนี้ มาจากกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามา 

ผู้นำกลุ่มให้ความรู้สึกทรงภูมิ แม้แต้จะมีอายุขั้นต่ำที่ 30 กว่าปีก็ตาม แน่ละนี้เป็นเพียงการประเมินจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่แท้จริงบางคนในกลุ่มพวกเขาอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดอายุหลายพันปี

หลังจากอ่านคัมภีร์ไปหลายเล่ม โหย่วเสี่ยวม้อก็ได้เรียนรู้ว่าเหล่าผู้คนในมิตินี้ โดยเฉพาะเหล่าผู้ฝึกตน ดูเหมือนจะมีอายุยืนยาวเป็นพิเศษ 

ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็มีกลุ่มคนเดินออกไปต้อนรับที่ด้านหน้า

การคัดเลือกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า ผู้อาวุโสทั้งสามท่านทำการเลือกเหมือนการเลือกผักในตลาด ที่อันไหนดีอันไหนสวยก็เลือกเอา เหลือเอาไว้แต่ที่ไม่ดีดูไม่สวย น่าเสียดายที่โหย่วเสี่ยวม้อเองก็เป็นหนึ่งในเหล่าผักที่ถูกทิ้ง 

อย่างไรก็ดี เขาก็ยอมว่าเขาโชคดีที่ตอนนี้เขามีระดับพรสวรรค์สูงสุดในกลุ่มของเหลือ กับจิตวิญญาณสีเขียว ที่เหลือเลวร้ายกว่าเขาเพราะมีจิตวิญญาณสีชมพูและเหลือง ซึ่งเป็นขั้นต่ำสุดและทั้งชีวิตสามารถเป็นได้แค่ตานซือระดับต่ำเท่านั้น

"เจ้า อีกครึ่งปีที่เหลือเจ้าจงติดตามข้า"

เสียงที่อยู่ๆ ก็ดังมาจากด้านบนศีรษะของโหย่วเสี่ยวม้อ เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นชายวัยกลางคน กับคิ้วที่ขมวดปมแสดงความไม่พอใจมาก

โหย่วเสี่ยวม้อรีบตอบรับอย่างว่าง่ายในทั้นที

ชายกลางคนไม่มีท่าทีตอบรับ และหันไปเลือกลูกศิษย์ลับระดับกลางในบรรดาเหล่าศิษย์ที่เหลืออยู่ ก่อนที่จะเดินนำออกไปจากหอรวมพลตานซือ

แม้ว่าเขาจะกล่าวว่าให้ติดตามเชา แต่ชัดเจนว่าชายกลางคนไม่ได้มีความคิดที่จะยอมรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์ หลังจากที่โยนพวกเขาให้เป็นภาระของศิษย์ตัวเองที่ชื่อฟางเฉินเล่อแล้ว ก็รีบเดินจากไปทันที ดังนั้นโหย่วเสี่ยวม้ก็ยังคงเป็นศิษย์ลับเหมือนเดิม 

อย่างไรก็ตามโหย่วเสี่ยวม้อยังคงพยายามที่จะขบคิดไปพร้อมกับเดินตามศิษย์พี่

ชายวัยกลางคนคือโคว่เหวิน ผู้ซึ่งสามารถถือได้ว่าเป็นอาจารย์ของเขา ท่านมีชื่อเสียงเล็กน้อยในสำนักเทียนซิน ศิษย์พี่กล่าวว่าท่านมีจิตวิญญาณสีฟ้าเป็นตานซือระดับสูง แม้ไม่อาจเทียบกับจิตวิญญาณสีม่วง แต่ท่านก็กล่าวได้ว่าสามารถปรุงโอสถทิพย์ระดับ 9 ได้ แม้ว่าอัตราที่จะสำเร็จนั้นถือว่าอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี มันไม่มีผลกับตำแหน่งของท่านโคว่เหวินภายในสำนักเทียนซิน 

สำนักเทียนซินยังมีการแบ่งฝ่ายภายในอีก 3 ตำหนัก ประกอบด้วย ตำหนักเทียนเฟิง, ตำหนักเฟยเฟิง และตำหนักเตาเฟิง ตามลำดับ

โคว่เหวินคือผู้นำของตำหนักเตาเฟิง ทุกๆ ปีพวกเขาต้องรับสมัครลูกศิษย์รุ่นใหม่ โดยผู้นำของทั้งสามตำหนักจะไปทำการคัดเลือกด้วยตนเองที่หอรวมพลตานซือ 

อย่างไรก็ตามตำหนักเตาเฟิงถือได้ว่าอ่อนแอที่สุดในทั้งสามตำหนัก ทุกๆ ปีพวกเขาจะมิสิทธิ์คัดเลือกทีหลังสุด เห็นได้ชัดว่าลูกศิษน์ที่เก่งทั้งหมดถูกเลือกไปก่อนโดยตำหนักเทียนเฟิงและตำหนักเฟยเฟิง เช่นเดียวกับเจียงหลิวผู้ซึ่งถูกคัดเลือกไปโดยตำหนักเทียนเฟิง

ดังนั้น ในช่วงนี้ของปีท่านโคว่เหวินมักจะอารมณ์เสียอยู่เสมอที่เลวร้ายที่สุด นั้นเป็นสาเหตุให้เขาเดินออกจากที่พักทันที และจะกลับมาหลังสิ้นสุดการคัดเลือก

"ดูท่าการเป็นอาจารย์ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน" โหย่วเสี่ยวม้อออกมาเบาๆ เขาไม่คิดว่าฟางเฉินเล่อจะหูดีมาก ได้ยินเขากระซิบอย่างชัดเจน ศิาย์พี่ที่ได้ยินก็รู้สึกอดใจที่จะแย่เล่นไม่ได้ เขาจึงกล่าวว่า "อันที่การเป็นอาจารย์ไม่ง่ายนัก ดังนั้นมันขึ้นอยู่กลับพวกเจ้าทุกคน ที่จะนำความภาคภูมิมายังอาจารย์"

"ศิษย์พี่ ท่านต้องทราบว่าพรสวรรค์ของพวกข้าอยู่ในระดับต่ำ" ชายหนุ่มคนที่อยู่ข้างเขาส่ายหัวอย่างเศร้าๆ เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร จากเหตุการณ์ที่เขาได้ร่วมเป็นสักขีพยานในหอรวมพลตานซือ 

ฟางเฉินเล่อตบไหล่ชายคนนั้นเบาๆ แล้วกล่าวว่า "เจ้าต้องไม่สิ้นหวัง จิตวิญญาณเป็นเพียงการวัดระดับพรสวรรค์อย่างเดียว เจ้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกฝน เช่นนั้นเจ้ายังจะมีหวังอยู่ แต่ถ้าเจ้าไม่พยายามในตอนต้น ตอนนั้นก็ไร้สิ้นความหวังสำหรับเจ้าแล้ว"

"ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง" โหย่วเสี่ยวม้อกระซิบเสียงเบาอีกครั้ง

ในชีวิตที่ผ่านมาของโหย่วเสี่ยวม้อก็มีประสบการณ์คล้ายๆ แบบนี้ ดังนั้นเขาจึ่งเขาใจได้เป็นอย่างดี ด้วยหลักการนี้ ดังนั้นเขาจึงต่างจากคนอื่น เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังตั้งแต่เริ้ม 

ฟางเฉินเล่อพยักหน้าอย่างพอใจให้เขาหนหนึ่ง

"ดีละ จากนี้ไปพวกเจ้าทั้งหมดเป็นลูกศิษย์ของตำหนักเตาเฟิง ที่นี้มีกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อ พวกเจ้าจะต้องมีความขยันหมั่นเพียร ค่อยช่วยเหลือกันในยามที่ยากลำบาก และทำงานร่วมกันด้วยความตั้งใจ วันนี้พวกเจ้าเพิ่งมาถึงตำหนักเตาเฟิงเป็นครั้งแรก ตอนนี้พวกเจ้าคงยังไม่คุ้นกับสิ่งต่างๆ ดังนี้วันนี้ข้าจะยังไม่สอนพวกเจ้า เดียวข้าจะบอกให้พวกศิษย์พี่ของเจ้าพาไปทำความคุ้นเคยกับสพื้นที่โดยรอบ แล้วพรุ่งนี้ ข้าจะบอกรายละเอียดให้พวกเจ้าฟังอย่างเป็นทางการ "

หลังจากนั้นไม่นานก็มีศิษย์พี่มาช่วยพาพวกเข้าไปทำความรู้สึกสถานที่ต่างๆ ภายในตำหนัก

บรรยากาศภายในตำหนักเตาเฟิงดีกว่าที่ๆ พวกเจ้าเคยอยู่มาก่อนมาก เพราะตั้งอยู่บนยอดเขา ล้อมรอบด้วยหมอกและปุยเมฆ นกตัวน้อยส่งเสียงร้องอยู่ในป่าบนยอดเขา และโดยเฉพาะอากาศที่ให้ความรู้สึกและสดชื่น

โหย่วเสี่ยวม้อ ไม่รู้สึกง่วงมาสักพักใหญ่แล้ว หลังจากที่เดินไปเล็กน้อย 

หลังจากเดินเล่นประมาณครึ่งชั่วยาม ศิษย์พี่หลี่ก็นำทางพวกเขากลับไปยังที่พัก

เพิ่มเติม :
ผู้ฝึกตน - เหล่าตานซือและชาวยุทธ์ทั้งหลาย
方宸乐 Fāng chén lè Fang ChenLe ฟางเฉินเล่อ
ชื่อตำหนักสองจิตสองใจว่าจะเลือกแบบจากอันไหนดี แต่เลยจากต้นฉบับแล้วกันจะได้ฟังจีนหน่อย แต่ก็คิดชื่อแปลอยู่นะ แดงกับน้ำเงินชื่อไหนดีกว่ากัน
天峰 tiān fēng ตำหนักเทียนเฟิง (ยอดเขาเทียมฟ้า)
飞峰 fēi fēng ตำหนักเฟยเฟิง (ยอดเขาเมฆาล่อง)
都峰 dōu fēng ตำหนักเตาเฟิง (ยอดเขาโลกา)

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559



ปก (ไม่แปลนะ ชื่อเรื่อง)

01

02

03

04

05

06
 


07

08 

09

10 (ตอนที่ 2 มีมาแล้วนะ)




Comment

เรื่องเล่าโพสเมื่อ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Popular Posts

Contact Us

ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
Mail : mbkrattanakorn@gmail.com