หอคัมภีร์ของสำนักเทียนซินยิ่งใหญ่และกว้างขวางราวกับห้วงมหาสมุทรที่รองรับแม่น้ำนับร้อยสาย เพียงชั้นแรกของตึกตะวันออกและตึกตะวันตกก็มีคัมภีร์ที่ถูกเก็บรวมไว้มากกว่าหมื่นเล่ม
ทางเดินภายในหอคัมภีร์ไม่ต่างจากที่โหย่วเสี่ยวม้อได้คาดไว้ คัมภีร์นับหมื่นที่อยู่บนชั้นวาง ทุกเล่มประเภทถูกจัดแยกไว้ตามหมวดหมู่และมีป้ายบอกอย่างชัดเจน
โหย่วเสี่ยวม้อได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักพลางส่ายหัวไปมา บางทีมันอาจจะเป็นเพราะมันไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลงเซียงมีมากแค่ไหน เขาเดินไปตามชั้นวางคัมภีร์ทั้งหลายที่ถูกแบ่งตามยุคสมัย แต่ก็ยังอยู่ในวงกว้าง บางช่วงอาจเป็นหมื่นปีที่แล้วหรือบางช่วงก็ประมาณห้าพันปีที่แล้ว....
โหย่วเสี่ยวม้อหาได้สนใจในอดีตอันยาวนานของแผ่นดินหลงเซียง สิ่งที่เขาต้องการทราบ สิ่งเขาไม่เข้าใจคือเรื่องแผ่นดินหลงเซียงในปัจจุบันนี้ ขณะที่เดินไปยังชั้นวางคัมภีร์ชั้นสุดท้าย ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อสังเกตุเห็นป้ายบอกด้านบน---"ภูมิศาสตร์แผ่นดินหลงเซียง!"
โหย่วเสี่ยวม้อยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อจะหยิบคัมภีร์ มือที่ยื่นออกไปของเขาก็สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง ที่ให้ความรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟซ็อตในกะทันหัน เขาหดมือกลับในทันทีและส่งเสียงร้องอย่างตกใจ
เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นทำให้เขากลัวแทบตาย นี่มันเหนือธรรมชาติมากเกิน ภายหลังจากเขาสงบใจลง เขาก็จำได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในมิติหลงเซียง ดังนั้นเขาต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาด ถ้าเขาต้องการจะอยู่รอดที่นี้ให้ได้ คิดได้แล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็หยิบเอาสิ่งที่เหมือนตราประทับออกมาจากอกเสื้อ
ก็อันที่ชายชราทีเฝ้าประตูหอคัมภีร์โยนใส่หัวเขานั้นแหละ
ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับตราประทับนั้นดี จึงลองยกขึ้นไปใกล้กับชั้นวางคัมภีร์ด้านหน้า ซึ่งดูเหมือนเขาจะคิดถูก จู่ๆ ตราประทับสีดำในมือก็ส่องแสงกระพริบออกมา พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบที่เหมือนจะขยับแยกออกทั้งสองด้านเพื่อเปิดทาง
โหย่วเสี่ยวม้อค่อยลองยื่นมือออกไปแตะที่บริเวณเดิมอีกครั้งหลังจากที่ไม่รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าแล้วจึงเเชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จจริงๆ
โดยเร็วโหย่วเสี่ยวม้อรีบหยิบคัมภีร์ลงมาจากชั้นวางโดยเร็ว และทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ อย่างกับเครื่องจักร เมื่ออยากได้คัมภีร์เล่มไหนก็นำตราประทับไปวางใกล้เพียงครู่เดียวเขาได้คัมภีร์หลายเล่มแล้ว ส่วนมากจะเป็นเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับแผ่นดินหลงเซียงที่เขาต้องการจะศึกษา
โหย่วเสี่ยวม้อเดินหามุมเล็กๆและนั่งลงเพื่ออ่านหนังสือและในขณะที่เขากำลังพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านบนศีรษะของเขา หย่วเสี่ยวม้อรีบเงยหน้าไปมองก็เห็นชายหนุ่มในเสื้อคลุมโบราณสีขาวกำลังนั่งคานหลังคา กำลังมองโหย่วเสี่ยวม้อที่มองมายังเขา เขายิ้มและกระโดดลงมาในขณะที่กำลังมองโหย่วเสี่ยวม้ออย่างพินิจระคนเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นทุกการกระทำของโหย่วเสี่ยวม้อจากด้านบน
เขาเดาะลิ้นอย่างล้อเลียน "จุ๊ๆ ไม่ทราบเจ้าบ้านนอกสกปรกนี้มาจากไหนกันน้า~"
ชายหนุ่มคนนั้นเดนรอบๆ ตัวเขา พูดคุยและแสดงอาการรังเกียจอย่างแรง โหย่วเสี่ยวม้อได้แต่กระพริบตาปริบๆ แต่ยังรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดช่างไร้เหตุผลจริงๆ ตัวเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ
ใครก็สามารถคาดเดาการกระทำของชายหนุ่มได้เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเสี่ยวม้อ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้น
"นี้เจ้าบ้านนอก ถ้าเจ้ายังอยากอ่านคัมภีร์อยู่ละก็ จงออกไปจากแถวนี้ซะ มุมนี้เป็นทางขึ้นไปยังชั้น 2 อย่าบอกนะว่า เจ้าคิดว่าจะได้พบกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องหญิง ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ เจ้าควรจะรู้ตัวว่าเจ้ายังไม่คู่ควร"
โหย่วเสี่ยวม้อยังคงนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นปัดกัน จากนั้นก็เดินออกไปหาจุดอื่นอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นเขาทำตามอย่างดาย ชายหนุ่มจึงรู้สึกไร้ความน่าสนใจและถ่มน้ำลายออกมาก
เห็นเขาเดินจากไปแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อถอนหายใจอย่างโล่งอก ใครจะไปคิดว่าทางขึ้นชั้น 2 เขามาหอคัมภีร์เพื่อจะหาคัมภีร์ ไม่ใช่มาพบใครหรือต่อสู้เพื่อเป็นที่รักของใคร อีกอย่างเขาก็ไม่รู้จักศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องหญิง นับประสาอะไรที่จะต้องไปพยายามใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกนั้น
แต่เขาคาดไม่ถึงว่ามุมที่เขาเลือกอย่างสุ่มๆ แท้จริงคือทางผ่านที่จะขึ้นไปยังบริเวณชั้น 2 หอคัมภีร์นี้ช่างมีเอกลักษณ์แสดงถึง 'หัวใจของผู้สร้าง' จริงๆ ไม่เห็นแม้กระทั่งบันไดหรือร่องรอยทางขึ้น หลังจากบ่นอยู่สักครู่ ในที่สุดโหย่วเสียวม้อก็กลับมานั่งอ่านม้วนคัมภีร์ของเขาต่อ
ในไม่ช้าเขาค้นพบว่าแผ่นดินหลงเซียงนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล หลายร้อยและหลายพันปียิ่งใหญ่มากกว่าโลกเดิมที่เขารู้จัก นอกจากนั้นมันยังเชื่อมต่อกันเป็นแผ่นดินเดียวกัน แต่มันดูเหมือนโลกในแบบดังเดิมที่มีภูเขาทอดตัวเนื่อง ป่าไม้ที่ไกลกว่าที่ตาจะสามารถมองเห็นได้
สิ่งสำคัญที่สุด มิตินี้ไม่มีร่องรอยของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแต่กลุ่มของผู้ฝึกตามสายงานต่างๆ และพลังงานวิเศษณ์
ตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้นั้น แผ่นดินหลงเซียงมิใช่เพียงแห่งเดียวในมิตินี้ ยกตัวอย่างเช่น ข้ามผ่านทะเลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด จะค้นพบโลกอื่นและมันว่างเปล่า พวกเขายังอ้างถึงอีกหลายที่ อย่างไรก็ตามในคัมภีร์กล่าวอย่างเพียงไม่กี่คำและจำกัด ทั้งยังไม่มีสาระสำคัญของพื้นที่เหล่านั้น ต่อจากกันก็มิได้มีคำอธิบายใดๆ อีก
หลังจาก 2 ชั่วยาม โหย่วเสี่ยวม้ออ่านคัมภีร์อีกไม่กี่เล่ม ก็เข้าใจเกี่ยวกับแผ่นดินหลงเซียงอย่างคราวๆ หลังจากที่จะนำคัมภีร์ไปเก็บที่ โหย่วเสี่ยวม้อบิดตัวยืดเส้นยืดสาย ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป เขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนมาจากด้านหลัง
มองย้อนกลับมาเขาเห็นเงาร่าง 2 ร่างปรากฎออกมาจากอากาศจากบริเวณมุมที่เขาเลือกนั่งในตอนแรก เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องสาว ที่ชายหนุ่มคนนั้นได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ศิษย์พี่ใหญ่มีหนาตาหล่อเหลาราวกับถูกแกะสลักออกมา เมื่อมองให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ น่าไว้ใจ เด็ดเดี่ยวน่าเชื่อถือและความมั่นคงได้ในทันที บรรยากาศรอบๆตัวค่อนข้างเยือกเย็น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน โดยไม่มองซ้ายขวา ศีรษะหันตรงไปด้านทางออกหอคัมภีร์
ราวกับได้เห็นเทพธิดา ศิษย์น้องเล็กกระทืบเท้าของเธอเบาๆ และไล่ตามเขาไป ทั้งคู่ราวกับไม่ได้สังเกตุเห็นตัวตนของโหย่วเสี่ยวม้อเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินออกมาจากหอคัมภีร์ โหย่วเสี่ยวม้อมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี รู้สึกว่ายังหัวค่ำอยู่ เขาจึงมุ่งหน้าไปยังตึกตะวันออก เพราะมีคัมภีร์จำนวนมากที่เขาต้องการจะอ่าน
โหย่วเสี่ยวม้อตัดสินใจที่จะทำการยืมคัมภีร์กลับไปอ่านต่อที่ห้องของเขาเป็นคัมภีร์เรื่องการปรุงโอสถทิพย์และสมุนไพรต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นพื้นฐาน
เพิ่มเติม:
ราวกับห้วงมหาสมุทรที่รองรับแม่น้ำนับร้อยสาย - ประกอบไปด้วยของหลายสิ่งหลายอย่าง
'หัวใจของผู้สร้าง' - ช่างมีความคิดสร้างสรรค์ / เจ้าความคิด / หลักแหลม / เฉลียวฉลาด
ทางเดินภายในหอคัมภีร์ไม่ต่างจากที่โหย่วเสี่ยวม้อได้คาดไว้ คัมภีร์นับหมื่นที่อยู่บนชั้นวาง ทุกเล่มประเภทถูกจัดแยกไว้ตามหมวดหมู่และมีป้ายบอกอย่างชัดเจน
โหย่วเสี่ยวม้อได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักพลางส่ายหัวไปมา บางทีมันอาจจะเป็นเพราะมันไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลงเซียงมีมากแค่ไหน เขาเดินไปตามชั้นวางคัมภีร์ทั้งหลายที่ถูกแบ่งตามยุคสมัย แต่ก็ยังอยู่ในวงกว้าง บางช่วงอาจเป็นหมื่นปีที่แล้วหรือบางช่วงก็ประมาณห้าพันปีที่แล้ว....
โหย่วเสี่ยวม้อหาได้สนใจในอดีตอันยาวนานของแผ่นดินหลงเซียง สิ่งที่เขาต้องการทราบ สิ่งเขาไม่เข้าใจคือเรื่องแผ่นดินหลงเซียงในปัจจุบันนี้ ขณะที่เดินไปยังชั้นวางคัมภีร์ชั้นสุดท้าย ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อสังเกตุเห็นป้ายบอกด้านบน---"ภูมิศาสตร์แผ่นดินหลงเซียง!"
โหย่วเสี่ยวม้อยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อจะหยิบคัมภีร์ มือที่ยื่นออกไปของเขาก็สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง ที่ให้ความรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟซ็อตในกะทันหัน เขาหดมือกลับในทันทีและส่งเสียงร้องอย่างตกใจ
เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นทำให้เขากลัวแทบตาย นี่มันเหนือธรรมชาติมากเกิน ภายหลังจากเขาสงบใจลง เขาก็จำได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในมิติหลงเซียง ดังนั้นเขาต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาด ถ้าเขาต้องการจะอยู่รอดที่นี้ให้ได้ คิดได้แล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็หยิบเอาสิ่งที่เหมือนตราประทับออกมาจากอกเสื้อ
ก็อันที่ชายชราทีเฝ้าประตูหอคัมภีร์โยนใส่หัวเขานั้นแหละ
ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับตราประทับนั้นดี จึงลองยกขึ้นไปใกล้กับชั้นวางคัมภีร์ด้านหน้า ซึ่งดูเหมือนเขาจะคิดถูก จู่ๆ ตราประทับสีดำในมือก็ส่องแสงกระพริบออกมา พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบที่เหมือนจะขยับแยกออกทั้งสองด้านเพื่อเปิดทาง
โหย่วเสี่ยวม้อค่อยลองยื่นมือออกไปแตะที่บริเวณเดิมอีกครั้งหลังจากที่ไม่รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าแล้วจึงเเชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จจริงๆ
โดยเร็วโหย่วเสี่ยวม้อรีบหยิบคัมภีร์ลงมาจากชั้นวางโดยเร็ว และทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ อย่างกับเครื่องจักร เมื่ออยากได้คัมภีร์เล่มไหนก็นำตราประทับไปวางใกล้เพียงครู่เดียวเขาได้คัมภีร์หลายเล่มแล้ว ส่วนมากจะเป็นเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับแผ่นดินหลงเซียงที่เขาต้องการจะศึกษา
โหย่วเสี่ยวม้อเดินหามุมเล็กๆและนั่งลงเพื่ออ่านหนังสือและในขณะที่เขากำลังพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านบนศีรษะของเขา หย่วเสี่ยวม้อรีบเงยหน้าไปมองก็เห็นชายหนุ่มในเสื้อคลุมโบราณสีขาวกำลังนั่งคานหลังคา กำลังมองโหย่วเสี่ยวม้อที่มองมายังเขา เขายิ้มและกระโดดลงมาในขณะที่กำลังมองโหย่วเสี่ยวม้ออย่างพินิจระคนเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นทุกการกระทำของโหย่วเสี่ยวม้อจากด้านบน
เขาเดาะลิ้นอย่างล้อเลียน "จุ๊ๆ ไม่ทราบเจ้าบ้านนอกสกปรกนี้มาจากไหนกันน้า~"
ชายหนุ่มคนนั้นเดนรอบๆ ตัวเขา พูดคุยและแสดงอาการรังเกียจอย่างแรง โหย่วเสี่ยวม้อได้แต่กระพริบตาปริบๆ แต่ยังรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดช่างไร้เหตุผลจริงๆ ตัวเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ
ใครก็สามารถคาดเดาการกระทำของชายหนุ่มได้เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเสี่ยวม้อ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้น
"นี้เจ้าบ้านนอก ถ้าเจ้ายังอยากอ่านคัมภีร์อยู่ละก็ จงออกไปจากแถวนี้ซะ มุมนี้เป็นทางขึ้นไปยังชั้น 2 อย่าบอกนะว่า เจ้าคิดว่าจะได้พบกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องหญิง ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ เจ้าควรจะรู้ตัวว่าเจ้ายังไม่คู่ควร"
โหย่วเสี่ยวม้อยังคงนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นปัดกัน จากนั้นก็เดินออกไปหาจุดอื่นอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นเขาทำตามอย่างดาย ชายหนุ่มจึงรู้สึกไร้ความน่าสนใจและถ่มน้ำลายออกมาก
เห็นเขาเดินจากไปแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อถอนหายใจอย่างโล่งอก ใครจะไปคิดว่าทางขึ้นชั้น 2 เขามาหอคัมภีร์เพื่อจะหาคัมภีร์ ไม่ใช่มาพบใครหรือต่อสู้เพื่อเป็นที่รักของใคร อีกอย่างเขาก็ไม่รู้จักศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องหญิง นับประสาอะไรที่จะต้องไปพยายามใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกนั้น
แต่เขาคาดไม่ถึงว่ามุมที่เขาเลือกอย่างสุ่มๆ แท้จริงคือทางผ่านที่จะขึ้นไปยังบริเวณชั้น 2 หอคัมภีร์นี้ช่างมีเอกลักษณ์แสดงถึง 'หัวใจของผู้สร้าง' จริงๆ ไม่เห็นแม้กระทั่งบันไดหรือร่องรอยทางขึ้น หลังจากบ่นอยู่สักครู่ ในที่สุดโหย่วเสียวม้อก็กลับมานั่งอ่านม้วนคัมภีร์ของเขาต่อ
ในไม่ช้าเขาค้นพบว่าแผ่นดินหลงเซียงนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล หลายร้อยและหลายพันปียิ่งใหญ่มากกว่าโลกเดิมที่เขารู้จัก นอกจากนั้นมันยังเชื่อมต่อกันเป็นแผ่นดินเดียวกัน แต่มันดูเหมือนโลกในแบบดังเดิมที่มีภูเขาทอดตัวเนื่อง ป่าไม้ที่ไกลกว่าที่ตาจะสามารถมองเห็นได้
สิ่งสำคัญที่สุด มิตินี้ไม่มีร่องรอยของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแต่กลุ่มของผู้ฝึกตามสายงานต่างๆ และพลังงานวิเศษณ์
ตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้นั้น แผ่นดินหลงเซียงมิใช่เพียงแห่งเดียวในมิตินี้ ยกตัวอย่างเช่น ข้ามผ่านทะเลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด จะค้นพบโลกอื่นและมันว่างเปล่า พวกเขายังอ้างถึงอีกหลายที่ อย่างไรก็ตามในคัมภีร์กล่าวอย่างเพียงไม่กี่คำและจำกัด ทั้งยังไม่มีสาระสำคัญของพื้นที่เหล่านั้น ต่อจากกันก็มิได้มีคำอธิบายใดๆ อีก
หลังจาก 2 ชั่วยาม โหย่วเสี่ยวม้ออ่านคัมภีร์อีกไม่กี่เล่ม ก็เข้าใจเกี่ยวกับแผ่นดินหลงเซียงอย่างคราวๆ หลังจากที่จะนำคัมภีร์ไปเก็บที่ โหย่วเสี่ยวม้อบิดตัวยืดเส้นยืดสาย ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป เขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนมาจากด้านหลัง
มองย้อนกลับมาเขาเห็นเงาร่าง 2 ร่างปรากฎออกมาจากอากาศจากบริเวณมุมที่เขาเลือกนั่งในตอนแรก เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องสาว ที่ชายหนุ่มคนนั้นได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ศิษย์พี่ใหญ่มีหนาตาหล่อเหลาราวกับถูกแกะสลักออกมา เมื่อมองให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ น่าไว้ใจ เด็ดเดี่ยวน่าเชื่อถือและความมั่นคงได้ในทันที บรรยากาศรอบๆตัวค่อนข้างเยือกเย็น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน โดยไม่มองซ้ายขวา ศีรษะหันตรงไปด้านทางออกหอคัมภีร์
ราวกับได้เห็นเทพธิดา ศิษย์น้องเล็กกระทืบเท้าของเธอเบาๆ และไล่ตามเขาไป ทั้งคู่ราวกับไม่ได้สังเกตุเห็นตัวตนของโหย่วเสี่ยวม้อเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินออกมาจากหอคัมภีร์ โหย่วเสี่ยวม้อมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี รู้สึกว่ายังหัวค่ำอยู่ เขาจึงมุ่งหน้าไปยังตึกตะวันออก เพราะมีคัมภีร์จำนวนมากที่เขาต้องการจะอ่าน
โหย่วเสี่ยวม้อตัดสินใจที่จะทำการยืมคัมภีร์กลับไปอ่านต่อที่ห้องของเขาเป็นคัมภีร์เรื่องการปรุงโอสถทิพย์และสมุนไพรต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นพื้นฐาน
เพิ่มเติม:
ราวกับห้วงมหาสมุทรที่รองรับแม่น้ำนับร้อยสาย - ประกอบไปด้วยของหลายสิ่งหลายอย่าง
'หัวใจของผู้สร้าง' - ช่างมีความคิดสร้างสรรค์ / เจ้าความคิด / หลักแหลม / เฉลียวฉลาด
แปลช้า แปลผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้คะ