หลังจากออกจากห้อง ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อก็ทราบชื่อของชายหนุ่มที่มีจิตวิญญาณสีฟ้าเขาถูกเรียกว่า เจียงหลิว
ในความเป็นจริงอาศัยอยู่ประตูถัดจากเขา ในการเริ่มต้นไม่ได้โดดเด่น แต่หลังการทดสอบเขาเป็นที่รู้จักเพราะจิตวิญญาณของเขาเป็นสีฟ้า
จิตวิญญาณสีฟ้าเป็นการพิสูจน์ว่าเขาเป็นว่าที่ตานซือระดับสูงที่มีพรสวรรค์อยู่ในระดับสูง นอกจากนั้น ตานซือระดับสูงยังหายากในแผ่นดินหลงเซียง ตานซือส่วนใหญ่ได้แต่ก้าวย่างอยู่ในระดับต่ำและกลาง แต่ถ้าสามารถก้าวข้ามถึงระดับสูงได้ อนาคตจะยิ่งสดใส ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสามารถปรุงโอสถทิพย์ได้ในระดับสูง จะได้รับความเคารพจากคนทั่วหล้า ดังนั้นตานซือระดับสูงจะเป็นที่ต้อนรับของสำนักใหญ่ๆ เสมอ
เมื่อสามวันก่อน ทุกคนที่ถูกพาเข้ามาในสำนักเทียนซินพร้อมกับโหย่วเสี่ยวม้อนั้นได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ลับ แต่หลังจากเจียงหลิวผ่านการทดสอบจิตวิญญาณสีฟ้า เขาได้รับการยอมรับเป็นศิษย์สายตรงของสำนักเทียนซิน โดยไม่ต้องทำการทดสอบหลังครึ่งปีอีกครั้ง
นอกจากนี้ ในระหว่างการทดสอบเมื่อวานนี้ ใครบางคนที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้อาวุโสถูกใจเจียงหลิวมาก วันนี้เขาจะต้องย้ายไปอยู่ลานฝึกชั้นใน ดังนั้นเขาจึงได้มากล่าวคำอำลากับพวกเขา นอกจากโหย่วเสี่ยวม้อทุกคนต่างมองเจียงหลิวด้วยความอิจฉา
"ดีจังเลยนะ เมื่อไรข้าจะสามารถเป็นศิษย์สายตรงเหมือนเจียงหลิวนะ?"
"ต้องพยายามฝึกหนัก แล้วพวกเราอาจจะสมหวังในอีกครึ่งปี"
"ถ้ามันง่ายอย่างที่พูดก็ดีสิ"
ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อก็หลุดโพล่งออกมา "มันยากมากหรอ?"
เขาไม่ต้องการออกจากสำนักเทียนซิน ในดินแดนที่แปลกประหลาดนี้ การอยู่กับสำนักเทียนซินดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
กลุ่มที่กำลังคุยกันจึงหันมาจ้องเขา และทำให้โหย่วเสี่ยวม้อเริ่มรู้สึกเขิน เขาจึงหันไปมองทางอื่นและกล่าวต่อโดยไม่มองหน้าเขา
"สำนักเทียนซินมีกฎในการรับศิษย์ตานซือที่เข้มงวดมาก จากที่ข้ารู้มา ถ้าเจ้าต้องการเข้าสู่ลานฝึกชั้นใน เจ้าจะต้องปรุงโอสถทิพย์ระดับ 3 ให้ได้ภายในครึ่งปีนี้"
ทันใดนั้นเสียงสูดอากาศก็ดังออกมา ตามด้วยอ้าปากค้าง อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ตานซือขั้นต่ำอาจจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ระดับ 3 ได้ แต่นั้นก็ยังต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีของการฝึก และมันอาจไม่ประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ
อีกทั้งยังไม่มีการรับรองจากตานซือ ว่าเคยมีตานซือระดับต่ำจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ระดับ 3 ได้ แม้แต่การปรุงโอสถทิพย์ระดับ 2 น่าจะเคยเห็นมากกว่า
ทุกคนที่ได้ฟังคำพูดของเขา รู้สึกท้อแท้หมดหวัง
แม้ว่าโหย่วเสี่ยวม้อจะไม่รู้เกี่ยวกับตานซือ แต่เมื่อมองดูท่าทางของทุกคน เขาก็ทราบได้ว่ามันน่าจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบากมาก ทันใดเขาก็เริ่มรู้สึกว่าอนาคตของเขาที่มืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ
"แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่มีหวัง" มองไปที่ท่าทางหดหู่ของทุกคนที่มีมากเกินไป เขาก็ปรับเปลี่ยนท่าทางให้ดูกระฉับกระเฉงและร่าเริง
"ความหวังอะไร? พูดเร็ว" ทุกคนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ชายคนนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ "สำนักเทียนซินเป็นสำนักที่ใหญ่มาก มีลูกศิษย์ลูกหานับพันนับหมื่นคน อาจจะอยู่ในฝ่ายชาวยุทธ์ บางส่วนอยู่ในฝ่ายตานซือ ทุกๆ ปีมีค่าใช้จ่ายมากมาย ที่เจ้ารู้ทั้งหมดนั้น แม้ว่าตานซือสามารถหาเงินได้ แต่ในช่วงแรกก็ใช้เงินเยอะเช่นกัน ดังนั้นสำนักเทียนซินจึงมีฝ่ายคลังด้วย รับผิดชอบเฉพาะการหาเงินให้สำนักเทียนซินได้"
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว โหย่วเสี่ยวม้อเงี่ยหูตั้งใจฟัง
"ถ้าเจ้าสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อาวุโสฝ่ายคลัง เมื่อเวลานั้นมาถึง ถึงแม้ว่าเจ้าจะล้มเหลวในการเข้าสู่ลานฝึกชั้นใน เจ้าก็จะไม่ถูกไล่ออกจากสำนักเทียนซิน เพียงแต่ว่าเส้นทางการเป็นตานซือของเจ้าได้จบลงแล้ว"
หลังจากคำพูดของเขา ทุกคนก็ตกอยู่ในห่วงความคิด
หลังจากที่ได้ยินสิ้งนี้ โหย่วเสี่ยวม้อก็เข้าใจฝ่ายการคลังว่ามันคือการทำธุรกิจ แต่นี้หมายความว่าจะต้องมีความคิดและใจรักทางด้านธุรกิจ
นอกจากนี้ ฟังจากที่เขาพูด มันดูเหมือนจะไม่เรียบง่ายอย่างนั้นทั้งหมด มีอะไรบ้างอย่างแอบซ่อนอยู่
โหย่วเสี่ยวม้อเองก็ไม่ทราบ แต่เขาไม่ตั้งใจจะยอมแพ้ หลังจากแยกย้ายกันไปพักผ่อน
โหย่วเสี่ยวม้อตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปหอคัมภีร์ เพื่อที่จะศึกษาเรื่องต่างๆ ในดินแดนนี้
แปลช้า แปลผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้คะ