แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิยายแปล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิยายแปล แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

จวินม่อเซี๋ย ในจณะนี้เขามีอายุ 16 ปี เขาเป็นลูกหลานของทายาทสายตรงที่ยังเหลืออยู่เพียงคนเดียวของรุ่นเยาว์ในบ้านตระกูลจวินแห่งอาณาจักรเทียนเฉียง เป็นคนที่ไม่ยอมทำงาน เป็นพวกที่ไม่สามารถหาดีได้ ขี้เกียจสันหลังยาว เป็นพวกไร้สาระ เป็นขยะสังคม เป็นพวกที่มีชีวิตเอ้อระเหยไปวันๆ ค่อยจะกินอย่างเดียว ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป ช่างเป็นคนที่เป็นจุดสูญรวมของความหายนะ ของพวกกลุ่มคนชั้นสูง กล่าวสั้นๆ คือ มีชีวิตอยู่ช่างไร้ค่ายิ่งกว่าเหล่าพยาธิทั่วไป

นี้เป็นข้อมูลตัวตนใหม่ของร่างกายที่จวินเซี๋ยอาศัยอยู่

ไม่น่าแปลกใจที่ร่างกายของเจ้าจะถูกข้ายึดครอง ข้ามีฉายา "จอมโฉด" และถูกตั้งชื่อว่าจวินเซี๋ย ในโลกเก่า  ขณะที่เจ้าถูกเรียกว่า  ม่อเซี๋ย* นี้ไม่ใช่เป็นความผิดติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือไง? เจ้าไม่มีความละอายใจเลยรึ? สิ่งที่เกิดนี้ไม่ใช่เรื่องอยุติธรรมสำหรับเจ้าไปทั้งหมดหรอก!
[*TL: ในการออกเสียงภาษาจีนนั้น ชื่อ จวินม่อเซี๋ย ตัวอักษร  ม่อเซี๋ย เขียนในรูปพินอินคือ "mò xié" ซึ่งมีความหมายว่า "ไม่ทำสิ่งเลวร้าย"]

เมื่อเขาพยายามนึกทบทวนความทรงจำเก่าๆ และการกระทำในอดีตทั้งหมดของนายน้อยจวิน จวินเซี๋ยได้แต่ทอดถอนใจ ถ้าเขาพบกับเศษสวะแบบนี้ในอดีตของเขา เขาจะต้องกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขา 'สมัครใจ' ที่จะสังหารด้วยตนเอง แม้ตัวเขาในอดีตที่ผ่านมานั้นเขาจะไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ทำไมข้าต้องกลายเป็นกากเดนของสังคมเช่นนี้? จวินเซี๋ยอดนึกถึงหลักคำสอนในพุทธศาสนาไม่ได้ ในข้อที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องเหตุและผล ที่มักจะได้ยินคนพูดว่า ถ้าปัจจุบันเจ้าฆ่าสุกรสุกรเป็นจำนวนมาก ระวังในชาติหน้าเจ้าจะต้องการเป็นสุกรเหล่านั้น! ดูท่าแล้วคำพูดนี้ป็นจริงอยู่มาก หลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้น เนื่องจากในชาติที่แล้วจวินเซี๋ยเองก็ฆ่าพวกกากเดนสังคมแบบนี้นับไม่ถ้วนเป็นมากจริงๆ! 

ท่านปู่ของเจ้าลูกคุณหนูเสเพลคนนี้ คือ จวินจ้านเทียน มีตำแหน่งมหาเสนาบดีและเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในกองทัพแห่งอาณาจักร ส่วนท่านพ่อของเขา จวินหวู๋ฮุ่ย ก็เคยเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักร แต่ท่านเสียชีวิตขณะต่อสู้เมื่อสิบปีก่อน ทำให้ท่านแม่ของเขาตรอมใจตายตามภายหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ขณะที่พี่ชายทั้งสองของเขา จวินม่อโหย่วและจวินม่อโช๋ว ถูกสังหารในสนามรบในการต่อสู้ที่กล้าหาญ!

นอกจากนี้ยังมีท่านลุงอีกคน  จวินหวู๋อี้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงครามเมื่อสิบปีที่ผ่านมาเช่นกัน  แม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตรอดแต่ก็ต้องเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป....


-/|\- ขออภัยมาขณะที่นี้คะ เนื่องจากผู้แปลหลังจากเริ่มแปลเรื่องนี้ก็มีงานเข้ามามาก จึงจำต้องขอตัวทำงานเก็บเงินก่อน แต่ไม่ได้ทิ้งนะคะ จะพยายามแปลแล้วอัพวันเว้นวัน แต่อาจจะไม่ได้แปลที่เดียวจบตอนเลยนะ มาบอกไว้ก่อนจะมีคนบ่นว่าทิ้งอ่ะ ไม่ได้ทิ้งนะ แปลต่อแน่ๆ จ้า

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559





จู่ๆ จวินเซี๋ยก็ลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน

แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ลืมตา แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้เขายื่นมือขวาออกมาตบที่พื้นข้าง เพื่อที่เขาจะยันกระโดดออกจากบริเวณนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เขารู้สึกถึงอันตรายต่อความเป็นความตายของชีวิตเขา ไม่สามารถอยู่ที่นี้ได้ยาว เขาต้องรีบออกไปจากที่นี้เดี่ยวนี้!

นี่เป็นความคิดแรกที่ปรากฎขึ้นมาใจของเขา ทันทีที่เขาตื่นมา เนื่องจากสภาวะของจิตใจที่ได้รับจากฝึกฝนในอดีตจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณติดตัวของการเป็นนักฆ่าที่ดีเยี่ยม

ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังจะลอยขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแขนของเขาอ่อนแอและไม่สามารถที่จะรองรับน้ำหนักของร่างกายของเขา ปัง! เขาตกลงไปกระแทกกับพื้น

จวินเซี๋ยตกอยู่ในสภาวะช็อกอย่างรุนแรงสักครู่ นี้มันเกิดอะไรขึ้น? จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าร่างกายของเขาแท้จริงแล้วกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่ม! เมื่อมองสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงามและค่อนข้างสหรูหรา เพียงแต่ มันเป็นห้องที่ว่างเปล่า นอกเหนือไปจากพื้นที่สี่เหลี่ยม ทางด้านซ้ายมือที่ตอนนี้มือของเขาวางอยู่บนมันจนถึงเมื่อครู่คือ "เตียงยักษ์" มันเป็น "เตียงยักษ์" จริงๆ เพราะเตียงขนาดยักษ์นี้สามารถให้คนนอนได้อย่างน้อยเจ็ดหรือแปดคนที่ได้โดยไม่รู้สึกแออัดเลย!

นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าข้ากำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่หรอ? แล้วข้ามาอยู่บนเตียงได้ไง?

ความคิดของจวินเซี๋ยยังคงติดอยู่ในช่วงของความทรงจำก่อนที่เขาจะนอนหลับ หรือควรจะพูดให้ถูกคือ... เขาต้องพักชั่วคราว หลังจากความทรงจำล่าสุดของเขาคือ เรื่องราวชีวิตประจำวันในอดีตที่ผ่านมาของเขา หรือว่าเขาจะระลึกชาติได้... 



จวินเซี๋ยเป็นนักฆ่า และมันยังเป็นนักฆ่ามือทองที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่วันที่มันเปิดตัว ในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสถานที่ที่เขาไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มและอัตราของเขาที่ประสบความสำเร็จคือ ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นนักฆ่าหมายเลขหนึ่งในการจัดอันดับของพวกมือสังหาร ในเวลาเดียวกันชื่อ "จอมโฉด" ผงาดขึ้นไปที่จุดสูงสุดของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการจัดการโลกมืด และเขายังครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของผู้มีเงินรางวัลค่าหัวสูงสุด อันที่จริง เขาได้ครองตำแหน่งผู้มีเงินรางวัลค่าหัวสูงสุดในโลกอย่างเหนียวแน่มาตลอด 3 ปี

นี้ไม่ใช่ว่าไม่มีใครกล้าที่จะฆ่าเขา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถทำได้! ไม่มีใครที่มีความสามารถพอที่ฆ่าเขา ไม่มีใครที่มีสามารถมากพอที่จะเทียบเคียงกับนักฆ่าตำนานคนนี้* นับประสาอะไรที่จะมาฆ่าเขาได้!

มีนักฆ่ารุ่นใหม่จำนวนที่นับไม่ถ้วนที่สนใจรับงานนี้ แต่รางวัลเดียวที่พวกเขาได้รับคือความตาย ขณะที่ "จอมโฉด" ก็ยังมีชีวิตอยู่

เศรษฐีจากประเทศY คนหนึ่งเคยตั้งเงินรางวัลค่าหัวที่น่าตื่นตกใจเพื่อซื้อชีวิตของ "จอมโฉด" ผู้ที่ยอมรับข้อเสนอนี้มีสองคน ซึ่งทั้งสองเป็นนักฆ่าชั้นนำระดับโลกมีชื่อเสียงเทียมเท่ากับ "จอมโฉด" แต่...พวกเขาเสียชีวิตภายในสามวันต่อมา

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากจะรับงานที่เหมือนกับการฆ่าตัวตายนี้ แม้ภายหลังจะมีการเพิ่มเงินรางวัลขึ้นอีกหลายครั้ง ยังไม่มีใครกล้าพอที่ก้าวขึ้นรับงานนี้

ไม่ว่าจะมีเงินทองชื่อเสียงมากแค่ไหน มันจะมีความสุขได้อย่างไงหากคุณไม่มีโอกาสได้ใช้มัน? ต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละถึงจะสามารถมีความสุขและสนุกไปกับการใช้

ฉายา "จอมโฉด" กลายเป็นชื่อต้องห้ามท่ามกลางรายชื่อสำหรับล่าฆ่าหัวขององค์กรใต้ดิน

ชื่อ "จอมโฉด" กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวต่อองค์กรของพวกใต้ดินในแต่ละประเทศ อาจจะมีหลายคนที่รู้ถึงตัวตนของ "จอมโฉด" คนนี้ แต่ไม่มีใครจะรู้ว่าลักษณะที่แท้จริงของจอมโฉดเป็นอย่างไร ราชานักฆ่าคนนี้จะเป็นคนแบบไหน? เป็นเขาหรือเธอคืออะไร? นิสัยของ "จอมโฉด" จะเป็นอย่างไร?

นิสัยของจวินเซี๋ยแท้จริงแล้วก็เหมือนกับชื่อของเขา สรุปได้ในหนึ่งคำคือ ชั่วร้าย! สองคำ: ชั่วร้ายมาก!! สามคำ: ชั่วร้ายมากมาก**!!!

เขามักจะทำงานเพียงคนเดียวเสมอ ไม่ต้องการที่จะทำงานร่วมกันใคร ไม่จำเป็นต้องกว่าวถึงเพื่อน เขาไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนแม้แต่คนหรือครึ่งคน นอกจากนี้การที่เขายังจุกจิกเรื่องการรับงาน จะรับงานหรือไม่นั้น ไม่เพียงจะเลือกลูกค้าของเขา แต่ยังเลือกเป้าหมาย!

ถ้าหากเขาพบว่าลูกค้าที่น่ารังเกียจเสนอรางวัลมหาศาล เพื่อที่จะฆ่าขอทานไร้ที่พึ่ง เขาจะปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่เมื่อเขาเห็นคนที่สมควรตาย เขาจะลอบสังหารบุคคลดังกล่าวทันทีด้วยความเต็มใจ หลังจากนั้นเขาจะไปตามหาศัตรูบุคคลดังกล่าวและเพื่อถามหาค่าจ้างจากพวกเขา และก็ไม่มีทางปฏิเสธ! และบ่อยครั้งที่คนโชคร้ายเหล่านี้มักจะเป็นคนที่ไม่เคยว่าจ้างเขา บางคนไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของเขามาก่อน...

มีข่าวลือว่า...ครั้งหนึ่งมันเคยฆ่าพวกค้ามนุษย์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก เขาหันมาหารือกับเด็กสาวตัวน้อยที่ถูกลักพาตัวมา และรีดไถค่าจ้างจากเธอ ซึ่งได้เพียงเศษเหรียญ! เขาบ่นอย่างมีเหตุมีผล : ฉันไม่เคยทำงานที่ไม่ได้ค่าผลตอบแทน ไม่มีข้อยกเว้นอย่างเด็ดขาด...

นิสัยและพฤติกรรมการกระทำที่แสดงออกของเขา ทำให้หัวหน้าและเหล่าพี่น้องที่รู้จักถึงกับพูดไม่ออกเลย...

มันยังมีเรื่องเล่า...ครั้งหนึ่งเขาเก็บกระดาษชำระออกจากห้องน้ำทั้งหมด ก่อนที่หัวหน้าของเขาจะถ่ายหนัก หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วหัวหน้าของเขาก็ได้พบกับปัญหาที่แท้จริงว่าไม่มีกระดาษชำระและขอให้เขานำกระดาษทิชชู่เขาไปให้ เขาใช้โอกาสนี้ในการรีดไถเงิน $500,000 เป็นค่าแรงงานในการทำงานนี้ เจ้านายของเขา...ได้แต่ยอมให้

เหตุผลที่เจ้านายของเขายอมนั้น......

นั้นเป็นเพราะในวันนั้นเขาเรียกเหล่ารุ่นน้องผู้หญิงทุกคนมาที่ประตูห้องน้ำ และยังจะเชิญแม้แต่สาวงามทั้งหลายให้มาร่วมสนุกกัน

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าจุดอ่อนที่ใญ่ที่สุดของเขาคือ เขามีคนที่เขารักเยอะเกินไป ในฐานะที่เป็นนักฆ่า แต่ยังเป็นมือเปื้อนเลือดของฆาตกรชั้นนำมากที่สุด คำกฃ่าวนี้ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนอาเจียนออกมาได้!

แต่คำอ้างว่ามีความรักของผู้ชายคนนี้ ก็ยังเป็นจริงไม่น้อย!

เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด เขาไม่สามารถทนมองคนรวยส่วนใหญ่กดขี่คนจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าข้าราชการที่กดขี่ประชาชนพลเรือน เมื่อเขามาอยู่ในต่างประเทศ เขาก็ไม่สามารถทนเห็นใครก็ตามกดขี่คนชาติเดียวกับตัวเอง! เพราะนิสัย "รักชาติ" ของเขานี้เอง ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยต้องพบภัยพิบัติที่น่าแปลกใจตามมา

ถึงแม้เขาจะเป็นคนเช่นั้น แต่ก็ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่ยังคงวิ่งมาต่อแถวใช้บริการของเขาอยู่! เพราะอะไรนะหรือ? เพราะเขาเป็นนักแม่นปืนระดับพระกาฬ มีสายตาและศิลปะการต่อสู้ที่ไม่อาจคาดเดาได้! เขาปลูกฝังทั้งเทคนิคการต่อสู้ในเชิงหมัดมวยและเชิงดาบจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ! แต่เหตุผลหลักที่ดีที่สุดอยู่ที่อัตราการทำงานที่ประสบความสำเร็จทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์! แม้ว่าจะไม่จำเป้นต้องบันทึกลงในประวัติการทำงาน แต่มันก็ยังคงเป็นประวัติศาตสร์ที่ไม่มีใครลบได้อยู่ดี!

เขาคือสุดยอดนักฆ่าที่ดีที่สุดในหมู่นักฆ่า!

นอกจากนี้เขายังเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มนักฆ่าระดับสูงที่ยังไม่เคยมีบันทึกด่างพร้อยในประวัติ! 

อย่างไรก็ตาม นักฆ่ามือพระกาฬคนนี้ยังมีพื้นฐานเป็นเพียงวัยรุ่นใจร้อน!

งานสุดท้ายของเขาก็เป็นหนึ่งในงาน "อาสาสมัคร" เขาได้ยินข้อมูลมาว่าองค์กรลับของประเทศ M ได้เข้ามาสอดแนมในประเทศ Z และพวกมันแอบขุดสมบัติล้ำค่าจากเทือกเขาคุนหลุนอย่างลับๆ หลังจากนั้นพวกมันก็แอบลักลอบขนสมบัติกลับมาก่อนที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศ Z จะได้ข่าว ดังนั้นในฐานะเด็กหนุ่มเลือดร้อน จวินเซี๋ยจึ่งโกธรแทบระเบิด!

สมบัติของจีนจำนวนมหาศาล ในช่วงที่ยังอยู่ในความสงบเช่นนี้ จะมีใครที่สามารถยับยังไม่ให้สมบัติตกอยู่ในมือชาวต่างชาติประเทศM?!

จวินเซี๋ยบุกเดี่ยวเพียงลำพังไปสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้า เขาถูกครอบงำด้วยความภาคภูมิในความรักชาติเป้นอย่างมาก เผชิญหน้าต่อสู้กับตัวแทนหน่วยสืบราชการลับของประเทศ M เกือบหนึ่งร้อยคน ทั้งการลอบโจมตี วางกับดัก และใช้ทักษะการต่อสู้ของเขาสังหารเหล่าตัวแทนไปเจ็ดสิบคน ทำให้คู่ต่อสู้ที่เหลือเกิดความหวาดกลัว ท้ายที่สุดเขายื่นมือไปคว้าสมบัติลับไว้ ในขณะที่ความกล้าหาญของตัวแทนรัฐ M ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าเขาคิดจะเดินจากไป เขาก็สามารถเดินออกได้ไปอย่างง่ายดาย! และจวินเซี๋ยมีความมั่นใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน!

ทว่าในจังหวะที่มือของเขาสัมผัสกับสมบัติลับนั้น - เป็นเจดีย์ที่ถูกสร้างมาอย่างประณีตงดงามมากขนาดประมาณฝ่ามือ ก็มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่มือข้างที่จับเจดีย์ ทว่าในช่วงเวลาสำคัญนั้น ร่างกายของเขากลายเป็นอัมพาต ไม่อาจขยับหรือเคลื่อนย้ายร่างกายได้ ไม่แม้แต่จะสามารถกระพริบตาได้ 

ช่วงขณะที่เขาไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ เขาจึงยังไม่ได้สังเกตเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของเขากำลังถูกสูบเข้าไปในเจดีย์เก่าขนาดเล็กนั้น! เจดีย์ที่สร้างอย่างละเอียดอ่อนประณีต ที่สวยงามและน่ากลัวมากพอๆ กัน...

ในความทรงจำสุดท้ายของเขาคือ ระเบิดขนาดเล็กที่พุ่งตรงมาหาเขาจำนวนไม่น้อยกว่าห้าสิบชิ้นส่วน พร้อมกับลูกปืนที่ถูกกระหน่ำยิงมาจากปืนจำนวนมากกว่ายี่สิบกระบอก ในตอนที่เขายังคงมีทักษะและความแข็งแกร่งที่จะทำให้กำจัดคนเหล่านี้ได้ในการถลาโฉบโจมตีเพียงทีเดียว แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ที่ร่างกายของเขาจะไม่ยอมขยับย้ายอีกต่อไป!

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาแทบบ้าคลั้งได้จริงๆ!

ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวข้า 'จวินเซี๋ย' คนที่ไร้คู่แข่ง จะต้องมาตายด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยข้าก็ใช้ชีวิตไม่ขาดทุนละ! พวกข้าราชการทุจริต เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เด็จการ และพวกอันธพาลที่ชอบรังแกผู้อื่น ก็ล้วนตายด้วยน้ำมือของข้าอย่างน้อยก็มากกว่าพันคน! ชีวิตของข้ามันช่างคุ้มค่ายิ่งนัก! เพียงพอแล้ว!

คนทั่วหล้าแย้มยิ้มไปภพหน้า*** แต่ตัวข้าขอแย้มยิ้มลงนรกก็แล้วกัน!

ชาตินี้ ข้าใช้ชีวิตอย่างลือเลือง! ผ่านการเคี่ยวกรำที่ดี! มโนธรรมชัดเจน!

ถึงแม้ว่าข้าจะฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แต่พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นกากเดนที่สมควรฆ่า! แน่นอนว่าไม่มีใครไม่สมควรถูกฆ่า ข้าไม่เสียใจที่ได้ลงมือ! เหตุใดต้องกลัว? แม้ว่าการกระทำนี้จะลากข้าลงไปนรกแล้วอย่างไร?!

ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! กำจัดกากเดนโสโครก! กลาดล้างพวกชั่วร้ายทั้งหมด! แม้ว่าข้าจะโดนคนทั้งโลกประณามเป็นฆาตกร แล้วอย่างไร?!

ในโลกนี้ จะมีใครที่ไหนสามารถใช้ชีวิตเก๋ไกเช่นข้าได้? ช่างเป็นชีวิตครื้นเครงดุเดือดเลือดพล่าน!

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า..." เพียงแค่คิดถึงจุดนี้ จวินเซี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ



“นายน้อย ทะ....ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวดังมาจากทางด้านข้างเขา ดูเหมือนจะตกใจและหวาดกลัวการกระทำของเขา น้ำเสียงราวกับคนที่กำลังจะร้องไห้ จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยมากสัมผัสที่หน้าผากเขาซึ่งมันมาจากฝ่ามือเล็กๆ ที่ยื่นมาวางบนหน้าผากของเขา

นายน้อย? นี้ข้าไม่ได้ฝันอยู่หรอกรึ? แล้วก็ไม่ใช่ทางไปนรกด้วย? จิตวิญญาณของจวินเซี๋ยสับสนอย่างรุนแรง ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ทันใดนั้นภาพความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยก็ผลุดขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก ทั้งความทรงจำและข้อมูลมากมายกำลังไหลหลากเข้าสู่สมอง จวินเซี๋ยรู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่าใส่ร่าง! จนช็อค!

นี้ข้าอาศัยในร่างของผู้อื่นรึ? หรือไม่ข้าก็เกิดใหม่อีกครั้งแล้ว? แต่ทำไมข้ายังจำเรื่องราวในภพที่แล้วได้อย่างชัดเจน? หรือว่าข้าอาจจะไม่ได้ทานน้ำแกงยายเมิ่ง****? หรือว่าข้ายืมศพคืนวิญญาณ?

อย่างแรก คือ ย้ายมาอยู่ที่ร่างใหม่?

อย่างที่สอง คือ ตายแล้วเกิดใหม่?!

จวินเซี๋ยหรี่ตามองอย่างเคร่งเครียด ทั้งยังไม่เข้าใจข้อมูลที่อยู่ในหัวของเขา พยายามจะเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าจะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยมิได้ขยับกายไปไหนอยู่ช่วงครู่ใหญ่ 

ครั้นเมื่อมีมือเล็กมาโบกไปมาบริเวณใบหน้าของเขาอย่างหวาดกลัว  ทันใดนั้นจวินเซี๋ยก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง : "ไอ้ลูกหมา! ผลการตอบแทนการเป็นคนดีของข้า การกระทำที่ดีจริงๆจะเรียกผลตอบแทนที่ดี! ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตราบใดก็ตามที่ข้ายังไม่ตาย! ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ท่าทางหลายชาติหลายภพที่ผ่านมาตัวข้าผู้เฒ่าคงสะสมผลบุญไว้ไม่น้อย? วะฮะ ฮา ฮ่า"

เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องอย่างกระทันหันนี้ ทำให้เด็กสาวอายุราวๆ 10 ปีที่ยืนอยู่ข้างๆ หวาดกลัวตัวสั่นรีบวิ่งไปหลบที่หลังขอบประตู ดวงตาคู่สวยขนาดใหญ่เบิ่งกว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนก จ้องมองตรงไปด้านหน้าราวกับกำลังพบฝันร้าย "นายน้อย"  ร่างกายที่เล็กและบอบบางยังคงสั่นเทา ใบหน้านางซีดขาวราวกับไม่มีเลือดไปเลี้ยง ดูราวกับว่ามันเป็นเพียงนกกระทาตัวจ้อยที่กำลังกลัวว่าจะโดนสัตว์ร้ายเขมือบ

เสียงกรีดร้องดังก้องกึกขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้เสียงกรีดร้องกลับฟังดูน่าอนาถ แต่มันก็เป็นเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากปากของจวินเซี๋ยเอง เพียงเพราะเขาพบว่าเสียงของตนเองช่างมีโทนเสียงที่แหลมสูงคล้ายกับเสียงของหญิงสาว หรือว่า? สิ่งนั้นของข้าจะหายไป? อ่า! ไม่นะ!!! ทันทีที่ความคิดนั้นปรากฎออกมาปฏิกริยาแรกโดยไม่ทันคิดและลืมความจริงที่ว่ามีสาวน้อยน่ารักยืนอยู่ตรงหน้าของเขา จวินเซี๋ยคว้าเป้ากางเกงของเขา เพื่อตรวสอบน้องชายของเขาทันที

ท้ายที่สุดเขาก็คล่ำเจอ "สิ่งนั้น" ที่คุ้นเคย จวินเซี๋ยถอนหายใจยาว ด้วยความโล่งอก  อ่า! ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตายังข้า ข้ายังคงสามารถมีบุตรได้

แท้จริงแล้วข้าหวาดกลัวว่า ข้านึกว่าข้าอาจจะมาอยู่ร่างกายของสตรี... จวินเซี๋ยเช็ดเหงื่อเย็น

หลังจากพยายามสงบใจลง จวินเซี๋ยก็เริ่มที่จะตรวจสอบร่างกายของเขาใหม่

ทางเดินเลือดลม(*5) ภายในติดขัด กล้ามเนื้อร่างกายอ่อนแรง ข้อต่อไม่ยืดหยุ่น...

นี้มันร่างกายแบบไหนกันนี้? ร่างกายของเขาอ่อนแอ่เกินไป! แท้จริงเป็นแค่ไอ้เส็งเคร็งคนหนึ่ง! จวินเซี๋ยแอบกระซิบ แต่มันไม่สำคัญ ตราบใดที่ทางเดินเลือดลมยังไม่ถูกทำลาย ภายใน 3-7 ปีข้างหน้า ก้เพียงพอให้ข้าผู้เฒ่าจะสามารถกลับไปอยู่จุดสูงสุดของโลกได้อีกครั้ง!

หลังจากวางแผนในสมองเขาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จวินเซี๋ยได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างว่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเขาจะมาอยู่ในโลกใบใหม่อย่างสมบูรณ์!

ที่นี้ช่างแตกต่างจากโลกที่เขาคุ้นเคย! ไม่ว่าเขามองไปทางไหนไม่ได้ดูเหมือนก็ไม่คุ้น! ราวกับตอนนี้เขาอยู่เพียงลำพังบนโลกใบนี้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งต่างๆ ร่วมทั้งยังมีเรื่องมากมายที่เขายังไม่ทราบ! ข้อกำหนดของโลกนี้คืออะไร? โลกนี้เป็นอย่างไร?

หลังจากคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อีกครั้ง แม้จะเป็นจิตใจของนักฆ่าเลือดเย็นอย่างจวินเซี๋ย ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวังหดหู่

เมื่อสังเกตดูรอบๆ เครื่องเรือน เครื่องนอน และเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของเขาที่ไม่เหมือนกับชุดพิเศษที่ใส่อยู่ก่อนหน้านี้ ทั้งหมดล้วนดูราวกับอยู่ยุคโบราณ ความรู้สึกยินดีที่ยังไม่ตายของเขาค่อยๆ ลดลง กลายเป็นว่ารู้สึกสับสนและอารมณ์เสียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริงที่ว่า... ตัวข้าได้มีชีวิตอีกครั้ง...

สิ่งนี้คงจะเป็นที่น่าตื่นเต้นยินดีมากสำหรับเหล่าคนที่ได้รับโอกาสทุกคน แต่ในฉับพลันนั้นความรู้สึกของการสูญเสียอย่างนับไม่ถ้วนและความเจ็บปวดซึมซาบขึ้นมาจากภายในจิตใจของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งหวงแหนที่ไม่มีมาก่อน ทำให้เกิดจมูกของเขาจะรู้สึกแสบ ดวงตาของเขาคล่อไปด้วยน้ำตา หัวใจของเขาถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก; จวินเซี๋ยเบ้มุมปากลง เกือบตลอดชีวิตที่ผ่านมาดไม่เคยมีครั้งใดที่เขาต้องหลั่งน้ำตา แต่ในขณะนี้เขาเกือบจะร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา

นึกย้อนไปในอดีต คิดถึงบ้านเกิดและโลกเก่าของเขามันเป็นเรื่องยากที่จะจากมา! ข้าคิดว่าตัวข้าช่างเป็นคนที่ง่ายๆ และอิสระ  แต่เดิมข้าคิดว่าข้าสามารถจะปล่อยวางเรื่องทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย จงบจนช่วงเวลาสุดท้ายของข้าที่ทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นจริง ก็พบว่าแท้จริงแล้วข้ายังไม่สามารถปล่อยวางทุกอย่างไปได้ ข้าไม่อาจตัดใจได้ อา!

แต่เดิมข้าคิดว่าตัวเองปราศจากพันธะผูกพันใดๆ โลก แต่ตอนนี้ข้ากลับตระหนักว่าตัวข้าแท้จริงแล้วมีสิ่งผูกพันมากมายจนแทบจะไม่สามารถนับได้! ส่วนที่สำคัญมากที่สุดก็คือว่า ในดินแดนใหม่นี้ ข้าผมไม่สามารถค้นพบเศษเสี้ยวของความรู้สึกตนเองที่อยู่ที่นี้! ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ......

จิตวิญญาณของข้ายังคงแปลกแยกอยู่เสมอ....

จวินเซี๋ยยืนอยู่อย่างเงียบๆ หลับตาลงเบาๆ เขาอยู่อย่างเงียบๆ หัวของเขาค่อยๆ เอียงไปด้านข้าง เมื่อไม่มีใครดูอยู่ หยาดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไร้เสียง

นี้เป็นการหลั่งน้ำตาครั้งแรกของชายผู้มาจากทั้งสองโลก!

อย่าได้ดูถูกผู้ชายไม่ใช้คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆ แต่เพราะแท้จริงยังไม่ถึงเวลาที่เศร้าที่สุด!



เมื่อจ้องมองเข้าไปในกระจกทองเหลือง เขาเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังดูอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ ใบหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่ประกอบไปด้วยริมฝีปากบางเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวเฉียงขึ้นไปบนขมับ ขนตายาว ดวงตาโตเรียวหวานคมชัด จวินเซี๋ยหัวเราะอย่างขมขื่นและพึมพำออกมา : "ข้าคงต้องบอกว่า เจ้าเด็กนี้มีหน้าตาดีมาก ส่วนหนึ่งดูหล่อเหลาอยู่หรอก แต่ดันผิวหน้าขาวไปนิด เล็กไปหน่อย ดูเหมือนเด็กสาวเสียมากกว่า"

เมื่อระลึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขา รูปลักษณ์ของเขาช่างเหมาะสมกับการเป็นนักฆ่า ปรากฏตัวของเขาเป็นสิ่งที่น่าประทับใจในการฆ่าความแข็งแรง! แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะไม่ใช้พิมพ์นิยม ดวงตาของเขาตี่และเล็ก จมูกบางแต่ชี้และงุมลง ในขณะที่ ลักษณะโดยรวมของเขาดูเหมือนจะอยู่กลางๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานของเหล่าผู้ชาย! ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่ ลูกผู้ชายตัวจริงจะอยู่ในหมู่ชายหน้าหนาว ตัวเขาเองก็ยังมองคนเหล่านี้อย่างเหยียดหยาม ใครเหล่าจะคาดคิดว่าหลังจากชีวิตจบลง เขาจะต้องมาอาศัยอยู่ในร่างกายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน? ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าเด็กนี้ก็ค่อนข้างจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าหวานที่ค่อนข้างหล่อเหลามาก...

"เฮ้เพื่อนยาก เจ้าเป็นคนนำข้ามาที่นี้หรอ?" มือขวาของเขาลูบไปบนข้อมือซ้ายของเขาที่ปรากฎรอยสักรูปแบบเจดีย์ขนาดเล็กคล้ายกับรอยสักเบาๆ เป็นจังหวะ ใบหน้าของจวินเซี๋ยปรากฎร่องรอยของความภาคภูมิใจ แม้ว่าในขณะนี้ข้าจะเสียชีวิตแล้ว ทั้งยังยัายมาอยู่ร่างอื่น แต่อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ยังอยู่ในมือของคนจีนอย่างปลอดภัยแทนที่จะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของชาวต่างชาติ!

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นรอยสักอยู่บนหลังมือของตัวเอง แต่จวินเซี๋ยก็มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่านี้คือเจดีย์ในห้องสมบัตินั้น! เจดีย์ขนาดเล็กที่มีลวดลายวิจิตรงดงามที่เขาปกป้องด้วยชีวิตตนเอง เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงเชื่อแบบนี้ แต่หัวใจของเขาก็บอกเขาเช่นนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งจริงและลึกลับ

เมื่อมองที่เจดีย์แล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกของถึงความพอใจและการปลอบโยน อันเนื่องมาจากสิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่มาจากโลกก่อนนี้เช่นเดียวกับเขา ในใจของจวินเซี๋ยเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เขาก็ไม่ทราบว่าความรู้สึกนี้คืออะไร? แต่เขายังรักษาความสุขุมเยือกเย็นของจิตใจไว้ได้ และไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า

มันก็ยังคงบรรยากาศราวกับไม่แยแสสิ่งใด! เงียบเฉย!

ขณะที่เขากำลังลูบเบาๆ บนรอยสักรูปเจดีย์ขนาดเล็กๆ จู่ๆ มันก็ระเบิดแสงสีเหลืองและมีหมอกหนา ทำให้เกิดจวินเซี๋ยจะรู้สึกหวิวๆ สติกลับมาปลอดโปร่ง เขารู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งที่กำลังเข้ามาสู้สมองของเขา อีกทั้งลวดลายบนมือของเขาหายไป...

"แปลก!" เขาส่ายหัวด้วยความประหลาดใจ จวินเซี๋ยรู้สึกประหลาดใจจริงๆ  ของชิ้นนี้มันช่างมีแต่เรื่องแปลก ตอนแรกเริ่มก็เป็นเจดีย์ขนาดเล็ก ต่อมากลายเป็นรอยสักบนมือของเขา แล้วตอนนี้มันจะหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ หรือว่าสิ่งนี้แล้วแท้จริงคือของวิเศษในตำนาน?

"นายน้อย นายท่านผู้เฒ่าเรียกพบเจ้าค่ะ" ชั่วครู่ก่อนที่จวินเซี๋ยจะได้ตรวจสอบเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้สึกในใจของเขาก่อนหน้านี้ ก็มีเสียงดังขึ้นมาอย่างกระทันหัน

"เรียกพบข้าหรือ?" จวินเซี๋ยเลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวว่า "ทำไม?" ตาเฒ่านั้นมีคำสั่งให้ข้าไปพบกับเขา? เขาคิดว่าข้าเป็นหลานของเขารึ?! อ่า!! ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทันใดนั้นเขาก็รีบกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป คิดดูอีกทีดูเหมือนว่าตาเฒ่าคนนี้แท้จริงแล้วก็เป็นคุณปู่ของเขาหรืออย่างน้อยคุณปู่ของร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน...

"เรื่องนี้...บ่าวก็มิทราบเจ้าค่ะ" สาวน้อยมองมาที่เขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนที่จะก้มหัวของเธอลง ขนตายาวกระพริบอย่างตื่นตระหนกและหวาดกลัว เท้าทั้งสองที่วางอยู่ในตำแน่งเดิมก่อนที่ข้างหนึ่งจะค่อยๆ ยื่นไปด้านหลัง หลังจากนั้นร่างกายของเธอเอียงเล็กน้อยเธอดูราวกับว่าเธอก็พร้อมที่จะหันหลังออกไปอย่างเร็ว 


^^^^ครบแล้วค่ะ อ่านข้างล่างหน่อยนะ ถามเรื่องความคิดเห็นเพิ่มเติ่มค่ะ ตอนต่อไปประมารอาทิตย์หน้านะคะ พรุ่งนี้ถึงวันศุกรืเค้ายังไม่วว่างแต่จะพยายามแปลให้เร็วๆ นะคะ^^^^

TLT : ช่วงที่พระเอกบรรยายตัวเองไม่รู้จะแปลว่า ข้า/ ฉัน/ เรา ที่ไม่เลือกฉัน เพราะมันฟังไม่จีนอ่ะ ส่วนเราก็ดูไม่บ้าพอ เลยเลือกข้าเพราะพอแทนตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนพวกชอบอวดเบ่งไงไม่รู้
*TLT :  to go toe to toe เป็นสำนวนที่พูดถึงการต่อสู้กันตัวต่อตัว ซึ่งแปลว่า ไปหัวแม่เท้าชนกัน เปรียบเทียบกับนักมวยซึ่งยืนเท้าเกือบชนกันแล้ว slug it out คือซัดกันคนละหมัดสองหมัดคะ
**TL: จวินเซี๋ยของชื่อตอน “จอมโฉด จวินเซี๋ย” แท้จริงแล้วเขียนอ่านออกเสียงจากพินอินคือ “xié jūn jūn xié” ในภาษาจีน คำว่า邪 “Xié” ซึ่งหมายถึง ชั่ว, เลว, ชั่วช้า, ปีศาจ, อัปมงคล ในขณะที่ 君 “jūn” หมายถึง กษัตริย์, ราชา, พระเจ้าแผ่นดิน, คำที่ใช้เรียกยกย่องผู้ชาย]
[***TLT : ในต้นฉบับ 含笑九泉 ถ้าหาในคำแปลไทยคือ ตายตาหลับ/ไม่สามารถหยั่งรู้ในเหตุการณ์ได้/ไม่รู้ความสามารถแค่ไหน ดังนั้นเราจึงแปลประมาณว่าคนทั่วไปจะยิ้มเวลาไปเกิด แต่พระเอกยิ้มได้แม้กำลังนรกคะ วลีที่เขียนดูงงไปหน่อยเนอะ]
****TL: น้ำแกงยายเมิ่ง คือ น้ำแกงที่คุณต้องดื่มก่อนที่คุณจะไปเกิดใหม่ เพื่อที่คุณจะได้ลืมอดีตในชาติที่แล้ว
****TLT : พระเอกหลุดโลกไปแล้ว เรื่องน้ำแกงยายเมิ่งเป็นความเชื่อเก่าของคนจีน มีอีกชื่อคือ น้ำเบญจรส/น้ำแกงห้ารส
*****TLT : 经脉 แปลคือ ทางเดินของเลือดลมในร่างกายตามความเข้าใจของแพทย์จีน อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ คิดว่าจะเอาไรดี ระหว่างทางเดินเลือดกะเส้นลมปราณ 


วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559




              ฟางเฉินเล่อเดินนำเขามายังเรือนสมุนไพร และได้แจ้งให้ศิษย์ที่เป็นยามเฝ้าประตูทราบก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้เขายืนอยู่เพียงลำพัง 
              เนื่องจากทราบว่าโหย่วเสี่ยวม้อถูกพามาที่นี้โดยศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ที่เป็นยามจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก ไม่ทำให้เขารู้สึกอัดอีด เพียงแค่แนะนำหลายจุดสำคัญทั้งหลายและข้อห้ามต่างๆ ที่สำคัญให้ทราบก่อนจะปล่อยให้เขาเข้าไปด้านใน

              เรือนสมุนไพรระดับ1 มีขนาดใหญ่มากนั้น เป็นเพราะเป็นสมุนไพรที่เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่มีความต้องการ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า 
              เมื่อเข้ามาภายในเรือน โหย่วเสี่ยวม้อได้เห็นพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณที่โบกพริ้วไหวไปกับสายลม
              โดยสมุนไพรวิญญาณที่พบส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกหญ้า ที่เขาเคยอ่านในบันทึกคือหญ้าตี่ต้า ที่ลำต้นและใบจะมีสีเขียว ด้านบนดอกจะมีแต้มจุดสีม่วงขนาดเล็กประดับอยู่ สมุนไพรวิญญาณประเภทนี้มีประสิทธิภาพมากเหมาะสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก แต่โดยทั่วไปแล้วพวกตานซือส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้ปรุงโอสถวิญญาณไว้รักษาอาการบาดแผล 
              สำหรับผู้ฝีกตนแล้ว อาการบาดเจ็บภายนอกเป็นเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึ่งไม่นิยมปรุงโอสถวิญญาณเพียงเพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก
               อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ฝึกตนที่เป็นหญิง ไม่ได้คิดเช่นนั้น อย่างที่ทุกคนทราบรักสวยรักงามเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติของสตรีทุกคนอยู่แล้ว
              ด้านข้างของหญ้าตี่ต้าทั้งสองด้านมีต่งหลิงเช่าและดอกนิ๋งเฉิน ซึ่งเป็นสมุนไพรวิญญาณที่มักจะถูกนำมาปรุงโอสถวิญญาณระดับ 1 บ่อยที่สุด ดังนั้นจึ่งมีการปลูกเป็นจำนวนมาก

              โหย่วเสี่ยวม้อนั่งยองๆ ที่ด้านหน้าดอกนิ๋งเฉินพร้อมกับจ้องดูอย่างละเอียด เพราะไม่แน่ใจเขาอาจเห็นภาพลวงตาอยู่
              เขามักจะรู้สึกว่าดอกนิ๋งเฉินที่อยู่ด้านมือซ้ายของเขาค่อนข้างไม่มีจิตวิญญาณ ในขณะที่ดอกนิ๋งเฉินทางขวามือดูจะเบ่งบานอย่างงดงามมากแถมยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ลำต้นและใบของต้นด้านขวาดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยหมอกสีขาวเป็นชั้นบางๆ ซึ่งเขาก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
              กวาดตามองดอกนิ๋งเฉินที่อยู่รอบๆ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีสภาพสวยงามมากนัก 
              ที่สำคัญที่สุดคือ สมุนไพรชนิดอื่นที่อยู่รอบๆ ดอกนิ๋งเฉิน ก็ไม่มีหมอกสีขาวห่อหุ้มบริเวณลำต้นและผิวใบ โหย่วเสี่ยวม้อมองดูด้วยความสับสน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เพราะเขาไม่สามารถตรวจสอบสิ่งที่เขาเห็นได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เขาจึ่งย้ายไปยังบริเวณอื่นแทน

              โดยไม่คาดคิด เขาก็ค้นพบสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีลักษณะคล้ายกันอีก 5 ต้นในเรือนเพาะสมุนไพรต่งหลิงเช่า คงไม่มีข้อยกเว้นที่ว่าสมุนไพรที่มีหมอกสีขาวห่อหุ้มจะเติบโตเบ่งบานได้สดสวยและยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ดูมีชีวิตชีวามาก
              น่าเสียดายที่โหย่วเสี่ยวม้อไม่ได้มีความเข้าอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่ามันมีสามารถทำอะไรได้บ้าง
              แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่งมสักทีเดียว ดังนั้นเขาสามารถคาดเดาได้รางๆ ว่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นต้นที่มีคุณภาพดีที่สุด ต่อจากนั้นโหย่วเสี่ยวม้อก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปทันที

              แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้นัดพวกเขาให้ร่วมกลุ่มกันอีกครั้งภายหลังจากที่แยกกันได้หนึ่งชั่วยาม อย่างไรก็ตามโหย่วเสี่ยวม้อได้ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว เพราะเขามั่วแต่สนใจที่จะสังเกตและตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณ
              รอจนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาหันไปพบว่าศิษย์พี่ใหญ่จะยืนอยู่ข้างหลังเขาและยิ้มเล็กน้อย
              โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกประหลาดใจเพียงครู่ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าถึงตระหนักว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว จึ่งรีบกล่าวขอโทษ "ข้าขออภัยศิษย์พี่ใหญ่ ที่ขะ..ข้าลืมเรื่องเวลานัด"

              ฟางเฉินเล่อไม่ได้กล่าวตำหนิเขา เพียงแต่ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "หาได้ยากยิ่งนักที่จะได้พบศิษย์น้องรุ่นใหม่ที่จริงจังมากแบบนี้ ศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกยินดีมาก โชคดีที่ครั้งนี้เป็นเพียงบทเรียนพื้นฐาน มีเนื้อหาไม่มากนัก ข้ายินดีที่จะพูดให้เจ้าฟังอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งหน้าเจ้าควรไปให้ตรงเวลา" 

              โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาได้แต่กล่าวเพียง "ขอบคุณขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่" เท่านั้น

              พวกเขาเดินกลับมายังเรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณ ฟางเฉินเล่อก็ทำการสอนบทเรียนให้เขาเพียงลำพังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ เขาได้สอนเรื่องพื้นฐานของสมุนไพรวิญญาณ ในครั้งนี้เขาจะสอนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันคือ พื้นฐานการเป็นตานซือ
              เหล่าผู้ฝึกยุทธ์และตานซือในแผ่นดินหลงเซียงเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปคือ 1 ใน 100  อย่างไรก็ตามจำนวนประชาชนของแผ่นดินหลงเซียง มีมากเป็นล้านล้านคน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนจำนวนของตานซือ แต่ปัญหาการขาดแคลนที่แท้จริงอยู่ที่จำนวนของตานซือระดับสูงนั้นมีน้อยยิ่งนัก 
              ตานซือระดับกลางไปจนถึงตานซือระดับสูงนั้นมีช่องว่างอยู่ เหล่าตานซือระดับกลางจำนวนมากที่ทั้งหลายไม่มีความสามารถก้าวข้ามไปผ่านไปได้
              ทั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดและสีของจิตวิญญาณที่มีมาตั้งแต่ต้นของเหล่าตานซือมาเกี่ยวข้องด้วย ระดับของจิตวิญญาณจะสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตของเหล่าตานซือได้ แต่จิตวิญญาณระดับสูงนั้นจะปรากฎเป็นจำนวนน้อย จึงหายากมาก ยกตัวอย่างเช่น โหย่วเสี่ยวม้อและเหล่าศิษย์ร่วมสำนักเทียนซินรุ่นเดียวกัน ที่พวกเขาทั้งหมดนับสิบคนมาจากถิ่นเดียวกัน แต่มีเพียงเจียงหลิวเท่านั้นที่มีจิตวิญญาณสีฟ้า 
              อย่างไรก็ตามผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ำไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่สามารถโผล่หัวขึ้นมาอยู่ในอันดับสูงได้ 
              ในทุกอย่างต่างก็มีข้อยกเว้นเป็นพิเศษภายในตัวเองเสมอ ก็คือเหล่าผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษหรือเหนือกว่าผู้อื่น ดังนั้นแม้แต่เหล่าตานซือระดับต่ำ ก็ยังมีสิ่งที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จอยู่ในตัว

              "ศิษย์พี่ใหญ่ เหล่าตานซือระดับต่ำสามารถปรุงได้เพียงโอสถวิญญาณระดับต่ำกว่าเท่านั้น แต่เหล่าตานซือระดับต่ำจำนวนมากก็สามารถปรุงโอสถวิญญาณในระดับเดียวกันได้ เฉพาะโอสถวิญญาณระดับสูงเท่านั้นที่หายากจึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีราคาแพง นี้จะสามารถเรียกได้อย่างไรว่าประสบความสำเร็จแล้ว?" โหย่วเสี่ยวม้อถามด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ

              ใบหน้าของฟางเฉินเล่อปรากฎรอยยิ้มถึงนัยน์ตาแล้ว ราวกับได้คาดไว้แล้วว่าเขาจะมีคำถามเช่นนี้ "ศิษย์น้องเล็กจำเป็นต้องทราบว่า ทำไมทุกๆ สิ่งล้วนแต่มีจุดเด่นจุดด้อยในตนเองทั้งนั้น" 

              โหย่วเสี่ยวม้อฟังแล้วก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดก็ประกายสว่างวาบในสมอง "หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่คุณภาพของโอสถวิญญาณงั้นหรือ?" 

              "ถูกต้องแล้ว เจ้าสามารถคิดได้เร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะฉลาดไม่น้อย" 

              ฟางเฉินเล่อพยักหน้าด้วยความพอใจ ที่เขาชื่นชมศิษย์น้องเล็กเพราะก่อนหน้านี้เขาได้ถามศิษย์รุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่นกัน แต่พวกเขาไม่สามารถตอบได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ 

              โหย่วเสี่ยวม้อก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความอาย ใบหูบางส่วนกลายเป็นสีแดง แม้เขาจะไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำชมเหล่านั้น
              หลังจากคิดได้สักพัก เขาไม่กล้าที่จะบอกกว่าตนเองมาจากยุคอนาคตเช่นนั้นแล้วเขาจึงเข้าใจถึงความสำคัญของปัญหานี้ เพราะในยุคนั้นสินค้าถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปัญหาเรื่องคุณภาพคือสิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงถึงเป็นหลัก บางคนก็กังวลว่าจะซื้อของปลอมจึงต้องดำเนินการตรวจสอบและศึกษาสินค้าชินนั้นอย่างละเอียด เช่นคนแบบเขาเอง!
              
              "คุณภาพของโอสถวิญญาณจะดีหรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับสภาพสมุนไพรวิญญาณ ถ้าเจ้าใช้สมุนไพรวิญญาณที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีในตอนปลูกแล้ว เมื่อนำไปปรุงเป็นโอสถวิญญาณแล้วคุณภาพของโอสถนั้นก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นการรซื้อขายโอสถวิญญาณจึงมีการแบ่งย่อยออกอีกสามระดับคือ โอสถวิญญาณระดับด้อย ระดับกลาง และระดับสุดยอด ซึ่งระดับสุดยอดเท่านั้นถึงจะถือว่ามีคุณภาพดีที่สุด"

              "เป็นเช่นนั้นนี้เอง" โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างปรากฎวาบขึ้นมาในจินตนาการของเขา แต่เมื่อเขาต้องการที่จะจับความรู้สึกนั้นมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว 
              สัญชาตญาณของโหย่วเสี่ยวม้อบอกกับตนเองว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมาก แต่เขาล้มเหลวก่อนที่จะคิดออก แล้วมันห็เลื่อนหายไปเสมอ จนเมื่อถึงเวลาสิ้นสุดบทเรียนของวันนี้ เมื่อเขากำลังจะเดินกลับไปที่ห้องของเขา ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา 'อ๊ะ'

              "หรือว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาเห็นในตอนเช้ากันนะ?"

__________________________________________
跌打草 Diē dǎ cǎo หญ้าตี่ต้า 

冬凌草 Dong Ling Cao ต่งหลิงเช่า
อ่านเพิ่มที่หน้าชื่อนะ

ขออภัยที่ล่าช้า เนื่องจากติดใจต้องชื่อสมุนไพร ต้องพยายามท่องว่า มันเป็นนิยาย แต่ก็ยังเลิกนิสัยขุดหาความหมายจริงๆของมันไม่ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เราคิดว่าคนเขียนน่าจะเอาของจริงมาใส่นะคะ

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559


ในวันถัดมา โหย่วเสี่ยวม้อเดินตามเหล่าศิษย์พี่ มีที่ห้องโถงของเรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณ
เรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญมากที่สุดในตำหนักเตาเฟิง ที่ซึ่งลูกศิษย์เท่าคนต้องมาเป็นประจำทุกวัน
ศิษย์พี่หลี่รับผิดชอบในการพาพวกเราชม แต่เพราะเขาได้รับมอบหมายงานอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาที่จะมาสอนพวกเรา มันช่างบังเอิญที่ศิษย์พี่ใหญ่กำลังว่างงาน ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่เสนอตัวเป็นคนดูแลพวกเราแทน

"เนื่องจากนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเจ้าทั้งหมดได้พบกับสิ่งเหล่านี้ ข้าจะยังไม่พูดเรื่องที่มันซับซ้อน ขอเริ่มต้นจากพื้นฐานก่อนเลยละกัน สิ่งที่อยู่ด้านหน้าพวกเจ้าเรียกว่า สมุนไพรวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปรุงโอสถทิพย์ เข้ามาดูใกล้ๆ"

ในขณะที่พูดฟางเฉินเล่อก็นำกระถางสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังเขาออกมาวางที่ด้านหน้าพวกเราทีละกระถาง
โหย่วเสี่ยวม้ออยากรู้อยากเห็นเหมือนคนอื่นๆ พยายามจ้องมองไปที่สมุนไพรวิญญาณในกระถางใบเล็กนี้ 
สมุนไพรวิญญาณเป็นชื่อเรียกโดยทั้วไปของวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถวิญญาณ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของวัตถุดิบโอสถวิญญาณที่จะมาจากสมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น กระถางที่สองจากทางซ้ายมือ คือ สมุนไพรวิญญาณระดับ1 ดอกนิ๋งเฉิน

จากนั้นฟางเฉินเล่อก็อธิบายให้พวกเขารู้จักกับระดับของสมุนไพรวิญญาณ
คล้ายกับเหล่าตานซือ สมุนไพรวิญญาณก็มีการจัดเป็นหมวดหมู่ตามระดับ  จากระดับ1-12 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของสมุนไพรวิญญาณ ยิ่งระดับสูงก็จะสามารถปรุงโอสถทิพย์ได้ระดับสูงเช่นกัน แต่ก็ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับระดับของตานซือเช่นกัน
ตานซือระดับต่ำจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ในระดับหนึ่งถึงสามได้
ตานซือระดับกลางจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ในระดับหนึ่งถึงหกได้
และสำหรับตานซือระดับสูง พวกเขาคือกลุ่มคนที่น่าอิจฉาที่สุดในแผ่นดินหลงเซียง นอกจากนี้ยังไปกลุ่มที่สร้างกำไรได้มากที่สุด เพราะพวกเขาสามารถปรุงโอสถทิพย์ในระดับหนึ่งถึงสิบได้ แต่การปรุงโอสถทิพย์ระดับสูงนั้นอัตราความสำเร็จจะลดลง ยิ่งสูงมากโอกาสที่จะสำเร็จยิ่งน้อย 
ตัวอย่างเช่น การปรุงโอสถทิพย์ระดับเก้าและระดับสิบ แม้แต่ตานซือระดับสูงที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมานาน พวกเขายังไม่สามารถรับประกันได้ว่าการปรุงโอสถจะประสบความสำเร็จถึงร้อยละสิบหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาสมุนไพรวิญญาณที่เป็นส่วนประกอบของโอสถทิพย์ที่หาได้ยากยิ่ง

ที่เหนือกว่านั้นยังมีโอสถทิพย์ระดับสิบเอ็ดและระดับสิบสองสมุนไพรวิญญาณ ซึ่งของทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นของในระดับตำนาน
มันเป็นเรื่องเล่าขานกันมานานว่า มีเพียงตานซือที่มีจิตวิญญาณเจ็ดสีในตำนานที่จะสามารถปรุงโอสถทิพย์ทั้งสองออกมาได้ อย่างไรก็แล้วแต่พวกเขายังไม่เคยพบตานซือคนใดที่จะมีจิตวิญญาณถึงเจ็ดสีในแผ่นดินหลงเซียงตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านไปนั้น มันยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานและตำนานที่ยังคงอยู่เท่านั้น
แต่ถึงแม้ตำนานจะกลายเป็นจริง แต่การค้นหาสมุนไพรวิญญาณระดับสิบเอ็ดและสิบสองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

เรื่องเล่านี้โหย่วเสี่ยวม้อเคยอ่านผ่านตามาแล้วทั้งหมดในคัมภีร์ที่เขายืมมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงตั้งใจฟังศิษย์พี่ใหญ่อธิบายอย่างรอบครอบ เพื่อจะได้รวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น และยังเกิดประโยชน์สำหรับตัวเขาเองด้วย
ฟางเฉินเล่อสังเกตุพฤติกรรมของศิษย์น้องเล็กอย่างละเอียด ผงกหัวอย่างพอใจ 
แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐาน สามารถค้นหาได้ง่ายในคัมภีร์ เพราะเหตุนี้ เมื่อเขาถ่ายทอดไปยังศิษย์ใหม่ทั้งหลาย จึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่จะพบกับการอดทนฟังอย่างตั้งใจและจริงจังของศิษย์น้องเล็ก ฟางเฉินเล่อจึงอดที่จะสนใจในตัวเขาไม่ได้

"สำหรับตอนนี้ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทำความคุ้นเคยสมุนไพรวิญญาณระดับ1 แล้วอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าจะกลับมาอธิบายสิ่งสำคัญเกี่ยวกับเหล่าตานซือ" 
จากนั้นฟางเฉินเล่อก็ปล่อยให้บรรดาศิษย์แยกย้ายไปสำรวจ 
โหย่วเสี่ยวม้อเห็นเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายรีบเข้าไปสำรวจสมุนไพรวิญญาณ ก็ส่งเสียงเรียกให้ฟางเฉินเล่อหยุดก่อน 
ฟางเฉินเล่อได้ยินเสียงที่นุ่มหูและไพเราะมาจากด้านหลังของเขา จึงหันหลังกลับเขาได้พบกับศิษย์น้องเล็กที่ตั้งใจอย่างจริงจัง ดวงตาทั้งสองสีดำสนิทกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างคาดหวังอย่างกับลูกหมารออาหาร อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำเล็กน้อย

"ศิษย์น้องเสี่ยวม้อ มีอะไรให้ช่วยข้าไหม?" 

โหย่วเสี่ยวม้อไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะจำชื่อของเขาได้ จึงหลบตาอย่างอายๆ แล้วกล่าวว่า "ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากไปดูเรือนเพาะชำสมุนไพรสักครั้ง ไม่ทราบว่า?"

ฟางเฉินเล่อชะงักไปสักครู่ จ้องมองโหย่วเสี่ยวม้ออย่างพินิจ ในที่สุดเค้าก็พยักหน้า "แน่นอนว่าเจ้าสามารถไปได้ แต่เดิมข้ากังวลว่าข้อมูลที่ข้าบอกไปในวันนี้จะมากเกินจนอาจจะกลายเป็นภาระที่หนักเกินสำหรับพวกเจ้า แต่เนื่องจากเป็นคำขอของเจ้าเองก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้แค่เรือนเพาะชำสมุนไพรระดับ1 เท่านั้น"

"ขอบคุณขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่" โหย่วเสี่ยวม้อรีบกล่าวขอบคุณอย่างดีใจ

ฟางเฉินเล่อยิ้มและบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ และนำทางเขาไปที่นั้น 

เรือนเพาะชำสมุนไพรหลักเป็นที่ที่สำคัญที่สุดในสำนักเทียนซิน. หากสำนักใดต้องการวางแผนการขยายสำนักในระยะยาวจำเป็นจะต้องมีเรือนเพาะชำเป็นของสำนักเอง ดังนั้นเรือนเพาะชำสมุนไพรจึงเป็นเขตหวงห้าม ยกเว้นจะได้รับอนุญาตโดยตรงจากท่านประมุข มิฉะนั้นผู้ที่สามารถเข้าออกได้มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายของสำนักที่ทำหน้าที่ดูแลเรือนเพาะชำสมุนไพรเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปภายในได้
แต่เรือนเพาะชำสมุนไพรหลักจะปลูกเพียงสมุนไพรวิญญาณที่เหนือกว่าระดับห้าขึ้นไป ดังนั้นศิษย์ในสำนักจะสามารถเข้าไปด้านได้แค่สวนสมุนไพรที่สมุนไพรวิญญาณระดับห้าลงมาเท่านั้น

ตำหนักหลักทั้งสามของฝ่ายตานซือเองก็จะมีเรือนเพาะชำให้ 5 เรือนต่อตำหนัก เพื่อไว้สำหรับเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณระดับ1 ถึง 5 โดยหนึ่งเรือนสำหรับหนึ่งระดับ

สำหรับโหย่วเสี่ยวม้อที่เป็นแค่ศิษย์ลับรุ่นใหม่ ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าได้แค่สวนสมุนไพรวิญญาณระดับ1

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


สารบัญ 异世邪君 - Otherworldly Evil Monarch (แปล)


แค่ชื่อตอนยังปวดหัวเลย 
000 ข้อมูลเพิ่มเติม
ตอนที่ 001 จอมโฉด จวินเซี๋ย (100%)
ตอนที่ 002 จวินม่อเซี๋ย (20%)
ตอนที่ 003 จวินหวู๋อี้
ตอนที่ 004 ทายาทรุ่น2, ทายาทรุ่น3
ตอนที่ 005 ประกายแห่งความหวัง
ตอนที่ 006 ลมปราณเซวี๋ยนชี่
ตอนที่ 007 เจดีย์ปัญญาหงจวิน
ตอนที่ 008 วิชาเปิดสวรรค์พลิกชะตา
ตอนที่ 009 ชำระล้างไขกระดูก
ตอนที่ 010 ท่านปู่แผลงฤทธิ์
ตอนที่ 011 ความแตกต่างของนิสัยที่เปลี่ยนไป
ตอนที่ 012 การสูญหายของฮูหยินนายน้อยถัง
ตอนที่ 013 谁在算计我?
ตอนที่ 014 独孤小艺
ตอนที่ 015 千金堂里
ตอนที่ 016 李悠然
ตอนที่ 017 运气真好
ตอนที่ 018 赢钱了......
ตอนที่ 019 图穷匕见
ตอนที่ 020 你真是赌神啊!
สารบัญ 傳說之主的夫人 - Legendary Master's Wife (แปล)



000 ตัวละคร 26
001 จิตวิญญาณของตานซือ 27
002 ฝ่ายคลัง 28
003 หอคัมภีร์ 29
004 ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องหญิง 30
005 หอรวมพลตานซือ 31
006 โคว่เหวิน 32
007 ปานฟ้าคราม 33
008 ร้อยละ 34
009 จิตวิญญาณในตำนาน 35
010 การค้นพบในเรือนสมุนไพร 36
011 再遇‘熟人’ (กำลังแปล) 37
012 灵丹的风险 (กำลังแปล) 38
013 灵魂之力 (กำลังแปล) 39
014 任重而道远 (กำลังแปล) 40
015 空间的发现 (กำลังแปล) 41
016 控制力 (กำลังแปล) 42
017 第一次出风头 (กำลังแปล) 43
018 成功率 (กำลังแปล) 44
019 下山前 (กำลังแปล) 45
020 聚气丹 (กำลังแปล) 51



ตูม!!!!!
เงาคนผู้หนึ่งกำลังล่วงจากท้องฟ้า ตกลงมากระแทกกับผิวน้ำสีหยกจนน้ำกระจายแตกเป็นวงคลื่นใหญ่
น้ำเย็นยะเยือกหนาวเข้ากระดูกท่วมมิดหัวเขาในทันที โหย่วเสี่ยวม้อสติแตก สองมือสองขาพยายามตระกายน้ำอย่างเปล่าประโยชน์ เขาตีน้ำที่อยู่รอบๆ และคิดว่าตนเองได้ตกมาใอยู่ในทะเล 
ให้ตายเถอะ!! เขาว่ายน้ำเป็นเสียเมื่อไรกัน!?
โหย่วเสี่ยวม้อคิดอย่างหมดหวัง อย่าบอกนะว่าเขาจะจมน้ำตายหลังจากที่ได้ข้ามมามิตินี้?
หัวใจเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ ได้แต่ไว้อาลัยในชีวิตอันแสนสั้นของตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะได้เป็นผีสองโลก
เมื่อคิดดูแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็ปลงตกและหยุดดิ้นรน อย่างไรก็ตามในไม่ช้าหรือเร็วตาย ตายตายไปซะ จะตายช้าหน่อยหรือเร็วหน่อยไม่แตกต่าง ตอนนี้เขาเตรียมใจที่จะต้องตายแล้ว เขาได้แต่หวังว่าชาติหน้าเขาคงจะไม่ต้องอายุสั้น ตายก่อนเวลาอันควรเช่นในชาตินี้

ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลาย โหย่วเสี่ยวม้อเฝ้ารอให้ถึงเวลาที่เขาจะต้องจมน้ำตายอย่างช้าๆ
อาจเป็นเพราะเขาปลงตกแล้ว ทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขารีบลืมตามองไปรอบๆ แล้วพบความน่าตกตะลึง แท้จริงแล้วน้ำลึกแค่เอว -_-||.......

โหย่วเสี่ยวม้อค้นพบว่าแท้จริงแล้วตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องของเขาอีกต่อไปแล้ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ ภาพที่เข้ามาในการมองเห็นขอเขากลับเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตา หนึ่งในห้าของพื้นที่ถูกคลุมด้วยทะเลสาบ ที่เขากำลังยืนอยู่
มันเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดมาก ก้อนเมฆสีขาวและท้องฟ้าสีฟ้าที่ดูสดใส ดั่งวันที่อากาศปลอดโปร่ง แต่กลับไม่มองไม่เห็นดวงตะวัน
หลังจากมองดูโดยรอบอย่างละเอียด เขาพบว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ก้อนเมฆสีขาวไม่มีการขยับ ไม่รู้สึกสัมผัสและเสียงของสายลมที่พัดในอากาศ ยอดหญ้าที่อยู่บนพื้นดินก็ไม่มีการสั่นไหวเหมือนดังต้องลม แม้ว่าร่างกายของเขาที่อยู่ในทะเลสาบก็ยังไม่มีแม้ร่องรอยของระลอกคลื่น

โหย่วเสี่ยวม้อก้มลงมองหยดน้ำตาสีครามที่ยังคงอยู่บนหน้าอกของเขา 
เป็นไปได้ว่าที่เขามาอยู่ที่นี้ก็เพราะเขาไปแตะถูกมันหรือ? คิดได้ดังนั้น เขาก็ลองเอามือไปแตะอีกครั้ง
โดยไม่ทันตั้งตัว ความมืดก็เข้าปกคลุมไปทั่ว ทำให้เขามองอะไรไม่เห็น 'ตูม!!!' เสียงน้ำกระจาย และเขาก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในอ่างน้ำร้อน
ร่างกายที่เย็นของเขาจากการที่แช่อยู่น้ำในทะเลสาบ ทันใดนั้นก็ค่อยๆ เริ่มอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ

โหย่วเสี่ยวม้อมองไปที่หน้าอกของเขาที่ยังมีหยดน้ำสีคราม เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมันไว้ก่อน เขารีบอาบน้ำต่อให้เสร็จและลุกขึ้นแต่งตัวด้วยชุดที่เตรียมไว้
เขาอาจคิดไปเอง แต่เขารู้สึกกระปี้กระเปร่ามากกว่าก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นเขานำน้ำในถังอาบไปเททิ้งด้านนอก โหย่วเสี่ยวม้อเทน้ำไม่กี่ครั้งก็สามารถระบายน้ำออกหมด ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด ทำให้มองอะไรได้ไม่ค่อยชัดนัก เห็นเพียงแต่เหล่าลูกศิษย์ที่เป็นเวรยามกำลังลาดตระเวณ
เพราะเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี้เป็นวันแรก ยังคงไม่คุ้นกับบรรยากาศโดยรอบ ดังนั้นโหย่วเสี่ยวม้อจึงไม่กล้าที่จะเดินออกไปไหนเพียงลำพัง
หลังจากเทน้ำในถังเสร็จแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็เดินกลับห้องพักของเขา เขาจุดเทียนเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้นภายในห้องและหยิบคัมภีร์ขึ้นมากอ่านต่อบนโต๊ะของเขา

กล่าวถึงเหล่าตานซือ แม้ว่าสำนักเทียนซินจะมีตำหนักใหญ่ถึง 3 ตำหนัก แต่แท้จริงแล้ว ก็มีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่จะก้าวไปถึงการเป็นตานซือได้ 
ปัญหาของเรื่องนี้มิใช่ขาดอดทนพยายามในการฝึกฝน แต่เป็นที่พรสวรรค์ตั้งแต่เกิดของจิตวิญญาณที่มีอยู่ในแต่ละคน
การจะหาผู้ที่จะมีสิทธิ์เป็นตานซือ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการทดสอบจิตวิญญาณของเขา มีเพียงจิตวิญญาณที่แสดงสีในการทดสอบเท่านั้นที่จะกลายเป็นตานซื้อได้ สำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีสีของจิตวิญญาณ

บนแผ่นดินหลงเซียงมีผู้คนนับพันนับหมื่น อย่างไรก็ดีผู้ที่มีสีของจิตวิญญาณยังคืดเป็นร้อยละหนึ่งของผู้คน 
ดังคำกล่าวว่า เพียงแค่หนึ่งในร้อยเท่านั้นที่จะสามารถกลายเป็นตานซือได้ นอกจากนี้ ผู้ที่กลายเป็นตานซือได้นันอาจจะไม่ได้เป็นตานซือระดับสูง ทั้งชีวิตอาจะเป็นได้แค่ตานซือระดับต่ำ 
ชัดเจนว่า ตานซือบนแผ่นดินหลงเซียงก็ยังหายากยิ่งนัก 
ตั้งแต่ที่มีวิธีการตรวจสอบสีของจิตวิญญาณที่ได้การยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในการระบุระดับพรสวรรค์ของตานซือ ดังนั้นในตอนนี้ทุกสำนักจะต้องมีผลึกสีขาวอย่างน้อยขนาดเล็กเท่าชามข้าวไว้เป็นการทดสอบจิตวิญญาณของเหล่าผู้มาสมัครในสำนัก
ดังนั้น ด้วยเหตุนี้โหย่วเสี่ยวม้อจึงสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหามาได้ เพราะหลังจากเขาเข้ามาในสำนักเทียนซินได้สำเร็จ และกลายเป็นศิษย์ลับ เขาจะไม่ต้องเข้ารับการทดสอบจิตวิญญาณอีก 
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ไป ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของเขาเอง

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559



ตำหนักเตาเฟิงมีห้องอยู่มากมาย แต่ละห้องมีขนาดใหญ่กว่าห้องพักที่โหย่วเสี่ยวม้อเคยอยู่มาก่อน 
แต่ก็ยังคงรูปแบบการตกแต่งด้านในก็ยังดูเรียบง่ายเหมือนเดิม ที่แตกต่างกันคือมีฉากกันลายธรรมดาและถังน้ำขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง เพิ่มขึ้นมา ฉากกันนี้ตั้งขวางทางประตู เพื่อปิดกั้นการมองเห็นของผู้อื่น
โหย่วเสี่ยวม้อทำการย้ายเข้ามาอยู่ภายในวันนั้นเลย เขามีสมบัติติดตัวอยู่เล็กน้อย มีเสื้อผ้า 2 ชุดกับคัมภีร์ที่ยืมมาอีก 4 เล่ม 
เขายังไม่มีคิดที่จะนำคัมภีร์ไม่คืนที่หอคำภีร์ เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเพราะต้องหาทางเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในวันนี้ เขาจำต้องฝืนกล่ำกลืนเนื้อหาทั้งหมดให้เข้าไปในสมองของเขา ไม่ได้มีเวลาที่จะแยกแยะเนื้อหา นอกจากนั้นก็ตัวเขาเองก็เริ่มที่จะจำเนื้อหาบางส่วนไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาในการยืมคัมภีร์จากหอคัมภีร์ยังเหลืออีกตั้งครึ่งเดือน

โหย่วเสี่ยวม้อจัดเสื้อผ้าและคัมภีร์ใส่ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เริ่มที่จะทำความสะอาดห้องพัก
บางทีอาจจะไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนี้มานานแล้ว ทำให้มักจะไม่มีใครค่อยทำความสะอาดอยู่เสมอ ดังนั้นบริเวณพื้น โต๊ะ เก้าอี้และเตียงนอนจึงเคลือบด้วยฝุ่น โหย่วเสี่ยวม้อลองลองใช้นิ้วลูบดู ฝุ่นละอองจับตัวกันจริงค่อนข้างหนา


 ถังไม้ขนาดเล็กประมาณนี้

ในห้องพักมีถังไม้ขนาดเล็กที่ใช้สำหรับล้างน้ำ โหย่วเสี่ยวม้อใช้มันในการไปตักน้ำสะอาดมาจากด้านนอก เช็ดถูประมาณครึ่งชั่วยามก็ทำความสะอาดห้องจนเสร็จ  
แต่กว่าจะเสร็จ ดวงตะวันก็หลบหลังภูเขาทั้งดวงแล้ว 

หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์พี่หลีก็มาเรียกเขาพร้อมกับศิษย์ใหม่คนอื่นไปทานอาหารเย็น
ตำหนักเตาเฟิงมีเรือนอาหารแยกเฉพาะ สำหรับทานอาหารสามมื้อต่อวัน เหล่าลูกศิษย์จำนวนมากที่นี้กำลังทานอาหาร อย่างไรก็ตามมีลูกศิษย์บางส่วนที่งดอาหาร ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาทานอาหาร 
การจัดวางอาหารของเรือนคล้ายกับงานเลี้ยงบุฟเฟต์ในสมัยใหม่ อาหารทั้งสามมื้อจะถูกปรุงให้สุกก่อนแล้วจัดใส่หม้อใบใหญ่ 
เหล่าลูกศิษย์จะสามารถเลือกตักอาหารที่อยากทานด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งอาหาร เรือนอาหารมีกฎข้อสำคัญอยู่หนึ่งข้อ คือ เจ้าสามารถจะตักอาหารเท่าที่ต้องการได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถทานหมด อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้มีการทิ้งอาหาร เรือนอาหารจึงมีรหัสชุดหนึ่งในการรับอาหาร ถ้ามีการพบว่าทานอาหารเหลือหรือทิ้งเจ้าจะต้องได้รับโทษ

โหย่วเสี่ยวม้อเดินตามศิษย์พี่หลี่เพื่อรับชามอาหาร แต่เนื่องจากเขาไม่ค่อยอยากอาหาร ดังนั้นเขาจึงตักอาหารน้อยกว่าปกติ 
ขณะที่เขากำลังจะเริ่มทานอาหาร ก็เกิดวุ่นวายเล็กๆ ตรงทางเข้า 
โหย่วเสี่ยวม้อยกหัวและเงยหน้าขึ้นมามอง ดูเหมือนศิษย์พี่ฟางเฉินเล่อกำลังเดินเข้ามา เมื่อเขามาถึงหลายคนรีบเข้าไปทักทายเขาทันที มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้รับความนิยมมากในตำหนักเตาเฟิง ไม่แน่ว่าเขาเป็นรองจากอาจารย์โคว่เหวินเท่านั้น

หลังทานอาหารเย็น โหย่วเลี่ยวม้อรีบกลับไปห้องเขา 
กำลังนึกว่าเขายังไม่ได้อาบน้ำ เขานำชุดออกมาจากตู้เสื้อผ้าหนึ่งชุดและวางไว้บนม้านั่งตัวเล็กใกล้กับถังอาบน้ำ 
แท้จริงแล้วในสำนักเทียนซินมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ แต่มันตั้งอยู่ไกลมากจากที่นี้ ดังนั้นคนส่วนมากจะไปตักน้ำร้อนกลับมาอาบที่ห้อง ในระหว่างวันศิษย์พี่หลี่ได้บอกี่ตั้งของบ่อน้ำร้อนแก่พวกเขาแล้ว ดังนั้นโหย่วเสี่ยวม้อจึงรู้จักทางไป ต้องเดินทางไปกลับถึง 4-5 รอบ ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อก็สามารถเติมน้ำให้เต็มถังได้ 
โหย่วเสี่ยวม้อปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ปิดประตู ถอดเสื้อผ้าของเขาออก และค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปแช่ในถังน้ำ อุณหภูมิของน้ำสูงในตอนนี้กำลังดี ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของร่างกายเขาชนิดที่ทำให้เขารู้สึกง่วงนอน
โหย่วเสี่ยวม้อต้องใช้ความพยายามยากมากที่จะตื่นขี้นมา ใช้ผ้าขนหนูขัดถูเบาๆ ตามมือและขาของเขา

ในขณะที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจ หลังจากการแช่น้ำก็มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับปานค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างช้าๆ บริเวณหน้าอกของเขา มีลักษณะเหมือนหยดน้ำตาสีคราม ก่อนที่เฉดสีของมันจะค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นโหย่วเสี่ยวม้อก็รู้สึกร้อนมากขึ้นตรงอกของเขา เมื่อมองลงไป เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ได้แต่มองด้วยความประหลาดใจ
เดี่ยวนะ เมื่อไรกันที่เขามีปานบนหน้าอก แถมนอกจากนั้นมันยังเป็นสีคราม มันไม่แปลกประหลาดมากเกินไปหรอ ขณะที่กำลังมองแสงสว่างหยุดลง เขาจึงสังเกตมันอีกที มันดูราวกับหยดน้ำสดใสเหมือนจะออกจากหน้าอกของเขา โหย่วเสี่ยวม้อไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ค่อยๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสมัน....

สองอึดใจต่อมา โหย่วเสี่ยวม้อผู้ซึ่งกำลังอาบน้ำในถังก็หายตัวไปทันที
น้ำร้อนกระเพื่อมเบาๆ ไม่อีกครั้ง ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง คล้ายกับว่าโหย่วเสี่ยวม้อไม่เคยแช่น้ำอยู่ ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ


Comment

เรื่องเล่าโพสเมื่อ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Popular Posts

Contact Us

ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
Mail : mbkrattanakorn@gmail.com