แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทนำ

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา หรือ โรคติดเชื้อมัยโคพลาสมา หรือโรคไมโคพลาสมา หรือ มัยโคพลาสมา (Mycoplasma infections) คือโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียในกลุ่ม Myco plasma ซึ่งจะติดต่อจากคนสู่คน โดยแบ่งโรคติดเชื้อชนิดนี้ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามตำ แหน่งของการเกิดโรค คือการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจ และการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ โรคทั้งสองกลุ่มนี้ มียาปฏิชีวนะสำ หรับรักษา แต่ไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกัน ผู้ที่เคยติดเชื้อเป็นโรคมาแล้ว มีโอกาสติดเชื้อและเป็นโรคซ้ำได้อีก

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมามีสาเหตุจากอะไร?

เชื้อในกลุ่มไมโคพลาสมา เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กที่สุดในแบคทีเรียกลุ่มที่สามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายคนและสัตว์ได้ และเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีผนังเซลล์เหมือนแบคทีเรียชนิดอื่นๆอีกหลายชนิด
การแยกเชื้อในกลุ่มนี้จากร่างกายของคน พบมีอยู่ 17 ชนิด (Species) แต่ส่วนใหญ่อา ศัยอยู่ในร่างกายของเราโดยไม่ทำให้เกิดโรค โดยมีอยู่เพียง 5 ชนิดที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ เชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ซึ่งทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งรวมทั้งปอดบวม และ อีก 4 ชนิด คือ เชื้อชนิด Mycoplasma genitalium, Mycoplasma hominis, Ureaplas ma urealyticum และ Ureaplasma parvum ทำให้เกิดโรคของ ระบบทางเดินปัสสาวะ และระ บบสืบพันธุ์ (ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี และระบบอวัยวะสืบพันธุ์ชาย)
การติดต่อของเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia เกิดจากการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วยที่ไอ จาม ออกมา เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ ส่วนเชื้อชนิดอื่นๆที่เหลือ การติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ส่วนใหญ่เกิดในช่วงอายุ 5-20 ปี เพศหญิงและเพศชายพบได้เท่าๆกัน พบได้ทั่วโลก เกิดขึ้นได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่พบมากในช่วงฤดูร้อนต่อฤดูหนาว การระบาดเป็นกลุ่มๆมักเกิดในที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นและใกล้ชิดกัน เช่น ในโรงเรียน ค่ายทหาร เป็นต้น ส่วนการระบาดเป็นบริเวณกว้าง (Epidemics) มักเกิดขึ้นเป็นรอบ ๆ ทุกๆ 2-3 ปี
สำหรับการติดเชื้อชนิดอื่นๆสามารถพบได้ทุกเชื้อชาติทั่วโลกเช่นกัน ชายและหญิงพบได้เหมือนๆกัน แต่จะเป็นโรคแตกต่างกันตามอวัยวะของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะระบบสืบ พันธุ์สตรี/ อวัยวะระบบสืบพันธุ์ชายที่แตกต่างกัน โดยโรคส่วนใหญ่จะพบในวัยเจริญพันธุ์ ไม่มีฤดูการระบาดที่จำเพาะ

เชื้อไมโคพลาสมาก่อโรคได้อย่างไร?

สำหรับเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว เชื้อจะอาศัยกลุ่มของโปรตีนที่มีอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ ไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบนหรือส่วนล่าง แล้วแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์แบคทีเรียจะผลิตสารก่ออนุมูลอิสระชนิด Hydrogen peroxide ออกมา ซึ่งทำให้เซลล์เยื่อบุตายได้ เมื่อเซลล์ตายเม็ดเลือดขาวก็จะเข้ามาเก็บกิน และปล่อยสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบและทำให้เกิดอาการตามมา นอกจากนี้มีการค้นพบว่าเชื้อชนิดนี้อาจมีการปล่อยสารพิษชนิด Exotoxin ชื่อว่า Com munity-acquired respiratory disease toxin (CARDS) ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสารพิษของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคไอกรน
ส่วนเชื้อชนิดอื่นๆ จะไปเกาะติดกับเยื่อบุท่อปัสสาวะหรือช่องคลอด และผลิตสารเคมีแอม โมเนียออกมา ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เซลล์เยื่อบุตายได้เช่นกัน
ในผู้ป่วยทั่วไปๆ เชื้อแบคทีเรียจะไม่ลุกลามลงไปลึกกว่าชั้นเยื่อบุผิวและไม่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด/กระแสโลหิต ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง หรือ มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย เช่น ใส่สายสวนปัสสาวะอยู่

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมามีอาการอย่างไร?

อาการของโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาแบ่งออกเป็น
  1. โรคทางระบบทางเดินหายใจ ระยะฟักตัวของโรคคือ ตั้งแต่รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งค่อนข้างยาวนานกว่าระยะฟักตัวของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากเชื้อชนิดอื่นๆ และมีประมาณ 20% ที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อและมีอาการนั้น ส่วนใหญ่จะมีอาการจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลม และปอด) คือ หลอดลมอักเสบ หรือ ปอดอักเสบ ปอดบวม และมีเพียงส่วนน้อยที่จะเกิดมีอา การของระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูก ลำคอ ท่อลม) เช่น คออักเสบ ซึ่งมักจะพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
  2. อาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างของเชื้อชนิดนี้ คือ มีไข้ โดยไข้มักจะไม่สูงเกิน 38.9 องศาเซลเซียส (Celsius) ปวดศีรษะ และไอ ซึ่งมักไม่มีเสมหะ หากมีเสมหะ ก็จะเป็นสีขาว ไม่ใช่เหลืองหรือเขียว โดยอาการจะค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นอยู่ค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับสาเหตุจากเชื้อชนิดอื่นๆ โดยอาจเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ ส่วนอา การอื่นๆที่อาจพบได้แต่เกิดขึ้นน้อย ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเหลว/ท้องเสีย การตรวจร่างกายโดยการฟังเสียงปอด มักไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากการติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรียทั่วๆไปที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ ในผู้ป่วยส่วนน้อย อาจมีอาการของระบบอื่นๆ นอกระบบทางเดินหายใจได้ เช่น
    • การเกิดผื่นแดงชนิดที่เรียกว่า Erythema multiforme คือ มีลักษณะเป็นปื้นนูนแดงที่มีรอยบุ๋มตรงกลางจากการตายของผิวหนัง มักพบในผู้ป่วยเพศชาย อายุน้อย โดยหากพบผื่นชนิดนี้ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ก็จะค่อนข้างจำเพาะว่าเกิดจากการติดเชื้อไมโคพลาสมา ส่วนผื่นชนิดอื่นๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่จำเพาะเหมือนผื่นชนิด Erythema multi forme เช่น ผื่นลมพิษ ผื่นชนิดตุ่มน้ำใส เป็นต้น
    • การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
    • การเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ
    • มีอาการปวดตามข้อ (Arthralgia) มีส่วนน้อยมากที่อาจเกิดข้ออักเสบ (Arthritis)
    • การเกิดเม็ดเลือดแดงแตกซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง (ภาวะซีด) และอาจมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
    อนึ่ง วิธีการก่อโรคของเชื้อที่ทำให้เกิดอาการในระบบอื่นๆนอกจากระบบทางเดินหายใจนั้นยังไม่ทราบชัดเจน
  3. อาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ มีไข้ เจ็บคอ คอ แดง ตาแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดหู มีเพียงส่วนน้อยที่อาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอโต ส่วนอาการที่ค่อนข้างจำเพาะต่อการติดเชื้อชนิดนี้ คือ อาการปวดหูจากเยื่อแก้วหูอักเสบ (Bullous myringitis) แต่พบได้น้อยมาก

  • โรคของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ ในคนปกติบางคนที่ไม่มีอา การ สามารถคัดแยกเพาะเชื้อที่ทำให้เกิดโรคในกลุ่มนี้จากช่องคลอดของผู้หญิงหรือท่อปัสสาวะทั้งหญิงและชายได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว จะมีโอกาสพบเชื้อเหล่านี้ได้มากขึ้น ในเด็กแรกคลอดเองก็สามารถตรวจพบเชื้อได้ โดยรับเชื้อมาจากมารดาขณะที่คลอดผ่านช่องคลอด แต่โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้ทารกเกิดโรคและเชื้อก็จะหายไปได้เองในที่สุด สำ หรับในผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อและมีอาการนั้น ได้แก่อาการเหล่านี้
    1. ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย ปวดเวลาปัสสาวะใกล้เสร็จ ปัสสาวะขุ่น อาจมีคราบหนองเปื้อนกางเกงใน
    2. ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) และท่อเก็บอสุจิอักเสบ (Epididymitis) อาการได้แก่ มีไข้ ปัสสาวะบ่อย ปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะลำบาก ไม่พุ่ง ปวดเอว ปวดท้องน้อย ปวดบริเวณอัณฑะ
    3. การอักเสบในอุ้งเชิงกรานในเพศหญิง (Pelvic inflammatory disease) อา การ คือ มีไข้ ปวดท้องน้อย ตกขาวมาก เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
    4. ปัญหาอื่นๆ เช่น การเกิดรกอักเสบในทารกที่อยู่ในครรภ์ และอาจเป็นสาเหตุของการเป็นหมันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

  • อนึ่ง เชื้อในกลุ่มที่ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์นี้ อาจเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆได้ เช่น ข้ออักเสบ กลุ่มอาการ Reiter’s syndrome (กลุ่มอาการที่เกิดการอักเสบกับหลายๆอวัยวะโดยมีการติดเชื้อเป็นตัวกระตุ้น แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุต่ออวัยวะนั้นๆโดยตรง เช่น มีการอักเสบของ ข้อ ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ อวัยวะสืบพันธุ์ และตาอัก เสบ เกิดขึ้นพร้อมๆกัน) เป็นต้น

    แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาได้อย่างไร?

    แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาได้โดย
    1. การวินิจฉัยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
      1. อาการของระบบหายใจส่วนต้นนั้น ยากที่จะวินิจฉัยว่าเกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา เนื่องจากอาการเหมือนกับการติดเชื้อชนิดอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการของระบบหายใจส่วนต้น แต่หากผู้ป่วยมีอาการปวดหูและตรวจพบตุ่มน้ำใสที่เยื่อแก้วหูก็เป็นอาการแสดงที่บ่งว่าผู้ป่วยอาจกำลังติดเชื้อไมโคพลาสมาอยู่ การพิสูจน์ยืนยันว่า ติดเชื้อไมโคพลาสมาโดยอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่สะดวกในทางปฏิบัติ และไม่มีความจำเป็น เนื่องจากโรคไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้
      2. อาการของระบบทางเดินทางหายใจส่วนล่าง อาการของหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ/ปอดบวมจากเชื้อไมโคพลาสมาจะคล้ายกับสาเหตุจากเชื้ออื่นๆ การจะระบุว่าเกิดจากเชื้อชนิดนี้ หรือเชื้อชนิดอื่นๆก็ตามแทบเป็นไปไม่ได้ หากผู้ป่วยมีอาการเป็นระยะเวลา นาน หรือมีอาการของระบบอื่นๆเกิดร่วมอยู่ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไมโคพลาส มา การตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นอาจช่วยในการบ่งชี้ว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อชนิดนี้ ได้แก่
        • การเจาะเลือดผู้ป่วยในหลอดทดลองที่มีสารกันเลือดแข็งตัวแล้วนำไปแช่เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เมื่อเอียงหลอดทดลอง จะเห็นเม็ดเลือดแดงตกตะกอนเกาะกันเป็นก้อน แต่เมื่ออุ่นเลือดที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เม็ดเลือดแดงก็จะเลิกเกาะตัวกัน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Cold agglutinin ซึ่งอาจพบในโรคติดเชื้อรวมไปถึงโรคอื่นๆได้ แต่หากผู้ป่วยมีอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างร่วมกับมีการตรวจพบปรากฏการณ์นี้ ก็บ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา
        • การเอกซเรย์ปอด พบเงาผิดปกติ ซึ่งมักจะไม่สัมพันธ์กับอาการของผู้ป่วย คือเงาที่ผิดปกติดูรุนแรง แต่อาการที่ปรากฏกลับไม่รุนแรง และมักพบเงาผิดปกติที่ปอดด้านล่าง
        • การตรวจเสมหะ ในผู้ป่วยที่มีเสมหะ เมื่อนำเสมหะไปตรวจย้อมสีดูเชื้อแบคทีเรีย (Gram stain) จะตรวจไม่เจอเชื้อ เนื่องจากเชื้อชนิดไมโคพลาสมาไม่มีผนังเซลล์ จึงไม่ติดสีใดๆ แต่หากเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆก็จะตรวจเห็นได้
          อนึ่ง สำหรับการตรวจที่จะพิสูจน์ยืนยันว่าผู้ป่วยติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
        • การเพาะเชื้อจากเสมหะ หรือสิ่งคัดหลั่งจากหลอดลมที่ดูดออกมา การเพาะเชื้อใช้เวลาค่อน ข้างนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ กว่าเชื้อจะขึ้นและพิสูจน์ได้ว่าเป็นเชื้อไมโคพลาสมา จึงไม่สะ ดวกในทางปฏิบัติและไม่ทันต่อการวินิจฉัย
        • การตรวจหาแอนติบอดี (Antibody/สารภูมิต้านทาน) ต่อเชื้อไมโคพลาสมา เพื่อให้มีความไวและความจำเพาะสูง ต้องเจาะเลือดตรวจ 2 ครั้ง ห่างกันนาน 2-4 สัปดาห์ จึงไม่สะดวกในทางปฏิบัติและไม่ทันต่อการวินิจฉัยเช่นกัน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคให้มีความไวในการตรวจพบเชื้อมากขึ้นในการตรวจเพียงครั้งเดียว
        • การตรวจหาองค์ประกอบทางโมเลกุลของเชื้อไมโคพลาสมา หรือสารก่อภูมิต้านทาน (Anti gen detection) โดยใช้เทคนิควิธีที่เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction) ซึ่งค่อนข้างแม่นยำและได้ผลรวดเร็ว แต่ราคาแพง
      3. การวินิจฉัยโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ อาการจากเชื้อชนิดนี้ไม่แตกต่างจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยติดเชื้อกลุ่มนี้เฉพาะจากอาการจึงไม่สามารถทำได้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการในเบื้องต้น ที่อาจบ่งชี้ว่าอาจจะเป็นเชื้อกลุ่มนี้ ได้แก่ การนำปัสสาวะหรือหนองที่เก็บได้จากท่อปัสสาวะในผู้ที่มีอาการของท่อปัสสาวะอักเสบ หรือต่อมลูกหมากอักเสบ ไปย้อมสีดูเชื้อแบคทีเรีย (Gram stain) ซึ่งถ้าเป็นเชื้อในกลุ่มนี้ก็จะตรวจหาไม่เจอ ส่วนการตรวจที่จะเป็นการพิสูจน์ยืนยันชนิดของเชื้อนั้นต้องอาศัยการเพาะเชื้อ ซึ่งเฉพาะเชื้อชนิด Mycoplasma hominis เท่านั้นที่เพาะขึ้นในอาหารเพาะเชื้อธรรมดาทั่วไป ส่วนเชื้อชนิด Mycoplasma genitalium และUreaplasmaspp. ต้องอาศัยอาหารเพาะเชื้อชนิดพิเศษ ซึ่งปกติไม่มีในห้องปฏิบัติการทั่วๆไป ส่วนการตรวจหาแอนติ เจน (Antigen/สารก่อภูมิต้านทาน)ใช้เทคนิควิธีที่เรียกว่า PCR ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
        สำหรับการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานของผู้หญิง มักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วม กัน จึงยากที่จะให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้อกลุ่มไมโคพลาสมาทั้งจากการย้อมสีดูเชื้อแบคทีเรีย หรือเพาะเชื้อ
        ดังนั้นโดยปกติ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบสืบพันธุ์แล้ว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะที่คลอบคลุมเชื้อหลายๆชนิดที่อาจเป็นสาเหตุ หากอาการไม่ดีขึ้น จึงจะอาศํยการตรวจพิเศษเพื่อหาชนิดของเชื้อต่อไป

    โรคติดเชื้อไมโคพลาสมารุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?

    ความรุนแรงและผลข้างเคียงจากโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
    1. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และสามารถหายเองได้ในที่สุดแม้ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ แม้โรคจะก่ออาการอยู่ค่อนข้างนาน ในผู้ ป่วยที่เป็นปอดอักเสบ ปอดบวม สมรรถภาพการทำงานของปอดก็จะกลับมาเป็นปกติดี การให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อจะช่วยทำให้อาการหายเร็วขึ้น โดยจะหายภายใน 7-10 วัน มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยที่อาการปอดอักเสบอาจรุนแรง และใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าสมรรถภาพการทำงานของปอดจะกลับมาปกติ ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เชื้ออาจลุกลามเข้าสู่กระ แสเลือดและทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) ได้
      ในผู้ป่วยที่มีอาการของระบบอื่นๆนอกระบบทางเดินหายใจ อาการต่างๆ จะกลับ มาหายเป็นปกติได้ในที่สุด เว้นแต่อาการทางระบบประสาทและสมองที่อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ในการกลับมาทำงานได้เป็นปกติ มีเพียงส่วนน้อยมากที่อาจเกิดการสูญเสียการทำงานถาวร
    2. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ การศึกษาและรายงานต่างๆในเรื่องความรุนแรงโรคที่เกิดจากเชื้อในกลุ่มนี้ยังมีน้อย อีกทั้งการติดเชื้อของระ บบนี้มักเกิดจากเชื้อหลายชนิดร่วมกัน จึงยากที่จะประเมิน แต่โดยรวมแล้วอาการมักไม่รุนแรง แต่อาจทำให้เกิดปัญหาสำคัญตามมา เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานอาจทำให้มีลูกยากได้ และสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและอาการรุนแรงได้

    รักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาอย่างไร?

    แนวทางในการรักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
    1. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ยืน ยันการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้อไมโคพลาสมาอยู่ แพทย์จึงทำการรักษาตามอาการของโรคติดเชื้อทางระบบหายใจทั่วๆไป ในภาพรวม คือ
      หากเป็นอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น จะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ให้ยาลดไข้/ยาแก้ปวด ยาลดน้ำมูกเป็นต้น แต่หากตรวจร่างกายพบ Bullous myringitis ซึ่งบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นจากเชื้อไมโครพลาสมา แพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ
      สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง/ปอด หากมีอาการไม่รุนแรง ก็จะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ให้ยาลดไข้/แก้ปวด แก้ไอ เป็นต้น แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายๆชนิดที่อาจเป็นสาเหตุ โดยพิจารณาตามอายุของผู้ป่วย โรคประจำตัว และการระบาดตามพื้นที่ เป็นต้น ซึ่งยาปฏิชีวนะที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมาด้วย หากผู้ป่วยมีอาการบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นการติดเชื้อไมโคพลาสมา เช่น มีอาการอยู่นานหลายวัน ตรวจร่างกายพบผื่นชนิด Erythema multiforme แพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับเชื้อ
      สำหรับผู้ป่วยที่อาการรุนแรง ก็จะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้ยาบรรเทาตามอา การ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดและแพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่คลอบคลุมเชื้อหลายๆชนิด ซึ่งก็จะครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมา โดยให้เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือด หากอา การและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นจากเชื้อไมโคพลาสมา แพทย์ก็จะให้ยาที่ตรงกับเชื้อมากขึ้น
    2. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เมื่อผู้ป่วยมีอาการอักเสบของอวัยวะในกลุ่มนี้ แพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดที่อาจเป็นสาเหตุ ซึ่งก็จะครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมาด้วย ส่วนการรักษาอื่นๆก็เป็นการรัก ษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น

    ป้องกันโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาได้อย่างไร?

    การป้องกันโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
    1. การป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ใช้หลักการเดียวกันกับการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วๆไป เช่น พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น แออัด หรือใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก/หน้ากากอนามัยหากจำเป็น การล้างมือบ่อยๆ ล้างมือทุกครั้งก่อนปรุงอาหารหรือทานอาหาร การใช้ช้อนกลางทานอาหาร เป็นต้น
    2. การป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ คือ การไม่สำส่อนทางเพศ ส่วนการใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่สามารถช่วยป้องกันได้
    3. ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อนี้

    ควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

    การดูแลตนเองและการพบแพทย์ คือ
    1. ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ให้การดูแลตนเองเหมือนโรคติดเชื้อระ บบทางเดินหายใจทั่วๆ ไป เช่น ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีอาการไม่รุนแรงสามารถ ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การไปทำงาน การไปเรียนหนังสือ แต่ควรใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร ไม่ใช้ของส่วน ตัวร่วมกับผู้อื่น สำหรับเด็กเล็กๆที่ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดี ควรหยุดเรียน ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเดียว กัน ไม่จำเป็นต้องแยกห้องอยู่ แต่ควรแยกห้องนอน
    2. ผู้ที่มีอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจที่มีอาการรุนแรง เช่น ไอมากจนเหนื่อย อ่อนเพลียหรือมีอาการมานานมากกว่า 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์
    3. ผู้ที่มีอาการของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน ตกขาวมาก ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม

    ที่มา : haamor.com

    วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

    โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)                                                         




    โรคกระดูกพรุน หมายถึง ภาวะที่กระดูกมีเนื้อกระดูกลดลง เนื่องจากแร่แคลเซี่ยมในกระดูกลดลง ทำให้กระดูกพรุนทำให้หลังโก่ง และกระดูกหักง่าย

    ปกติกระดูกของคนจะมีความแข็งเหมือนหิน หรือเหล็กเพื่อเป็นปกสันหลังให้อวัยวะต่างๆยึดเกาะ กระดูกของคนประกอบไปด้วยโปรตีน collagen ซึ่งสร้างโยงเป็นใย โดยมีเกลือ calcium phosphate เป็นสารที่ทำให้กระดูกแข็งแรง และทนต่อแรงดึงรั้ง เกลือแคลเซี่ยมจะอยู่ในกระดูกร้อยละ 99 และอยู่ในเลือดร้อยละ 1

    ปกติกระดูกของคนจะมีการสร้าง และการสลายอยู่ตลอดเวลา ในเด็กจะมีการสร้างมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกของเด็กมีการเจริญเติบโต และแข็งแรง กระดูกจะใหญ่ขึ้นจนกระทั่งอายุ 30 ปี กระดูกจะเริ่มมีการสลายมากกว่าการสร้างทำให้เนื้อกระดูกเริ่มลดลง ในวัยทองระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการสลายของกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เนื้อกระดูกลดลงเกิดภาวะกระดูกพรุน

    กระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อกระดูกหักโดยเฉพาะกระดูกสะโพก กระดูกพรุนมักจะเกิดในหญิงมากกว่าชายด้วยเหตุผล 2 ประการ

    • ความหนาแน่ของมาลกระดูกผู้ชายสูงกว่าผู้หญิง
    • เมื่อเข้าสู่วัยทองระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วทำให้เนื้อกระดูกลดลงอย่างรวดเร็ว

    กระดูกพรุนคืออะไร

    โรคกระดูกพรุน หมายถึง ภาวะที่กระดูกสูญเสียเนื้อกระดูก และโครงสร้างของกระดูกผิดไป ทำให้กระดูกมีความเปราะบาง เกิดการหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ เนื้อกระดูกจะมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นมากกว่าชาย และสามารถป้องกันได้

    ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน
    หมายถึง ภาวะที่ทำให้เนื้อกระดูกลดลงเร็วกว่าปกติ บางคนมีหลายปัจจัยเสี่ยง แต่บางคนก็ไม่มีปัจจัยเสี่ยง
     
    1.ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง

    • เพศหญิงจะมีการเกิดกระดูกพรุนมากและเร็วกว่าผู้ชายเพราะผู้หญิงวัยทองขาด estrogen ทำให้เกิดการละลายของกระดูกมากกว่าปกติ การรับประทานแคลเซี่ยมเป็นประจำช่วยลดอุบัติการณ์ของกระดูกหัก
    • อายุมากเกิดกระดูกพรุนได้มากกว่าอายุน้อย
    • ขนาดของร่างกาย ผู้ที่ผอมและตัวเล็กจะมีกระดูกพรุนได้ง่าย
    • เชื้อชาติ
    • ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเรื่องกระดูกพรุนจะเกิดโรคได้ง่าย

    2. ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้

    • ฮอร์โมนเพศไม่ว่าหญิงหรือชายหากมีฮอร์โมนต่ำก็เกิดกระดูกจางได้
    • เบื่ออาหาร
    • อาหารที่รับประทานมีแคลเซียมต่ำ
    • ใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ เช่น steroid หรือยากันชัก
    • ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
    • สูบบุหรี่
    • ดื่มสุรา

    การประเมินความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคกระดูกโปร่งบาง กระดูกพรุนหรือไม่

    การประเมินความเสี่ยงคะแนน
    สุขภาพเป็นเช่นใด
    • ดี
    • ปานกลางลงมา
    0
    1
    ผิวดำ-1
    ประวัติแม่ พี่หรือน้องสาวกระดูกสะโพกหัก1
    น้ำหนักลดลงเมื่อเทียบกับตอนอายุ 25 ปี1
    สูงกว่า 165 ซม1
    เป็นโรคสมองเสื่อม1
    ได้รับยา steroid1
    ได้รับยากันชัก1
    ได้รับยากลุ่ม benzodiazepam เช่น valium1
    ไม่ได้ออกกำลังกาย1
    ต้องใช้แขนช่วยเวลาลุกจากเก้าอี้1
    มีกระดูกหักเมื่ออายุมากกว่า 50ปี1
    อายุมากกว่า 80 ปี1
    วัยทองและไม่ได้รับฮอร์โมนทดแทน1
    ยืนน้อยกว่าวันละ 4 ชั่วโมง1
    หัวใจเต้นเกิน 80 ครั้งเวลานั่งเฉยๆ1
    รวมคะแนน 
      คะแนน 0-2   ความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนต่ำ
    คะแนน 3-4  ความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนปานกลาง
    คะแนนมากกว่า 5  ความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนสูง


    การรักษาโรคกระดูกพรุน

    ปัจจุบันแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนก่อนที่จะเกิดอาการ โดยการตรวจความเข็ม หรือความหนาแน่นของกระดูก Bone mineral density หรือ BMD การตรวจนี้ใช้แสงเอกซ์เรย์ปริมาณน้อยมากส่องตามจุดที่ต้องการ แล้วใช้คอมพิวเตอร์คำนวณหาความหนาแน่นของกระดูก เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐาน โดยการเปรียบเทียบกับมวลกระดูกของผู้หญิงอายุ 25 ปี หากมวลกระดูกคุณน้อยกว่า 2.5 เท่า standard deviation ของผู้หญิงอายุ 25 ปี แสดงว่าคุณเป็นโรคกระดูกพรุน osteoporosis หากเนื้อกระดูกคุณน้อยกว่าปกติแต่ไม่ถึง 2.5 เท่า standard deviation คุณเป็นคนที่เนื้อกระดูกน้อยกว่าปกติ Osteopenia ต้องมีการออกกำลังเพื่อสร้างมวลกระดูก และมียาหลายชนิดที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะเพศหญิงวัยทอง

    • Estrogen ต้องให้ร่วมกับยา Progestin ซึ่งจะพิจารณาให้ในรายที่ตัดรังไข่ก่อนอายุ 50 ปี หรือผู้ที่หมดประจำเดือนอายุน้อย หรือประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือผู้ที่มีมวลกระดูกต่ำกว่าเกณฑ์
    • Raloxifene เป็นยาในกลุ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน สามารถเพิ่มระดับความแข็งของกระดูกได้ครึ่งหนึ่งของการใช้ฮอร์โมนทดแทน
    • Alendronate ยานี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสลายของกระดูก ควรรับประทานยานี้ขณะท้องว่าง และดื่มน้ำตาม และให้อยู่ในท่ายืน 30 นาที ยานี้อาจจะทำให้เกิออาการจุกเสียดท้องและหน้าอก ผู้ที่มีโรคไตควรปรึกษาแพทย์
    • Calcitonin เป็นฮอร์โมนใต้สมอง ได้จากการสกัดต่อมใต้สมองจากปลาทูน่า ใช้พ่นจมูก ยาตัวนี้ผลข้างเคียงต่ำ
    • Tamoxifen ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่ estrogen receptor กับบางอวัยวะเท่านั้น คือยากลุ่มนี้มีความจำเพาะสูงกว่าเอสโตรเจน ยากลุ่มนี้สามารถเพิ่มมวลกระดูก และลดอาการร้อนตามตัว
    การป้องกันโรคกระดูกพรุน

    การป้องกันที่ดีที่สุดต้องสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่อายุน้อยกว่า 30 ปี หลายวิธีที่ป้องกันโรคกระดูกพรุน เช่น การรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง โดยเฉพาะในวัยเด็ก หญิงมีครรภ์ หญิงที่กำลังให้นมบุตร ชายและหญิงวัยทอง อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซี่ยมได้แก่ นม นมพร่องมันเนย ผักใบเขียว ปลา กระดุด ถั่ว น้ำส้ม วัยทองควรจะได้รับแคลเซี่ยมอย่างน้อยวันละ 1500 มก ต่อวัน สำหรับวัยทองที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนควรจะได้รับแคลเซี่ยมวันละ 1000 มก ต่อวัน หากรับประทานวันละ 600 มก ต่อวันจะดูดซึมได้ดี เมื่อรับประทานแคลเซี่ยมจะต้องดื่มน้ำมากๆเพราะแคลเซี่ยมจะทำให้ท้องผูก ในวัยทองควรจะได้รับวิตามิน ดีเสริมวันละ 400 ยูนิตต่อวันเพื่อเพิ่มการดูดซึมของแคลเซี่ยม
    แหล่งอาหารที่มีแคลเซี่ยม

    ปริมาณแคลเซี่ยมในอาหาร
      ชนิดของอาหารปริมาณที่บริโภคแคลเซียม(มก.)
      นมสด รสจืด200 (1 กล่อง)230-292
      ปลาช้อนทะเลแห้งทอดครึ่งถ้วยตวง329
      กุ้งแห้งตัวเล็ก 1ช้อนโต๊ะ138
      เต้าหู้เขาอ่อน 1 ก้อน290
      คะน้าผัดครึ่งถ้วยตวง105
      ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวัน (mg/day)
      แรกคลอด-6 เดือน400
      6 เดือน-1 ปี600
      1-10 ปี800-1200
      11-241200-1500
      25-501000
      51-641000-1500
      มากกว่า65มากกว่า 1500
      คนท้อง1200-1500

    1. วิตามินดี ปกติคนเราสามารถสังเคราะห์วิตามิน ดีได้จากแสงอาทิตย์ แต่คนสูงอายุ หรือผู้ที่อยู่แต่ในบ้านจะขาดวิตามิน ดี วิตามิน ดี จะช่วยให้ลำไส้มีการดูดซึมแคลเซียม วันหนึ่งควรได้วิตามิน ดี 400-800 IU ให้ถูกแสงบริเวณมือ แขน ใบหน้าครั้งละ 10-15 นาทีสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอที่จะสร้างวิตามินดี การทาครีมกันแดดจะลดการสร้างวิตามินดี
    2. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำให้กระดูกแข็งแรง เช่น การเดิน การเดินขึ้นบันได กระโดดเชือก ยกน้ำหนัก การเต้นรำ ลองเริ่มต้นการออกกำลังกายวันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3-5 วันซึ่งนอกจากจะทำให้กระดูกแข็งแรงยังทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและป้องกันการหกล้ม การออกกำลังที่จะทำให้กระดูกแข็งแรงคือ การออกกำลังชนิด weight bearing คือใช้น้ำหนักตัวเองช่วยในการออกกำลังกาย เช่น การเดิน การวิ่ง การขึ้นบันได การเต้นรำ การว่ายน้ำและการขี่จักรยานไม่จัดในการออกกำลังกายกลุ่มนี้ อีกชนิดหนึ่งคือการยกน้ำหนักเพื่อทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง
    3. การสูบบุหรี่จะทำให้ฮอร์โมน estrogen ต่ำเป็นผลทำให้กระดูกจาง
    4. การดื่มสุรา วันละ 120-180 มิลิเมตรจะทำให้กระดูกจางและหักง่าย
    5. หลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเพราะจะทำให้เกิดกระดูกพรุน
    6. ยาบางชนิดหากรับประทานต่อเนื่องจะทำให้กระดูกจาง เช่น steroid phenyltoin [dilantin} barbiturate ,antacid ,thyroid HORMONE
    7. ยาป้องกันกระดูกจาง
    8. ไม่ควรดื่มชาหรือกาแฟมากกว่า 2 แก้วเพราะสาร caffeein จะเร่งการขับแคลเซียม
    9. การวัดความหนาแน่นของกระดูก
    ข้อแนะนำเพิ่มเติม

    วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557


    ใช้ถุงยางเถอะ!!
    ที่มาของรูป จาก คุณหมอเกาลัด

    โรคหนองในคืออะไร 
    เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชอบอยู่ในที่อุ่นและชื้นของร่างกายเช่นช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก และช่องคอ
    มี 2 แบบ คือ
    โรคนี้ติดต่ออย่างไร

    การร่วมรักไม่ว่าจะทางช่องคลอด ทางทวาร หรือทางปาก โดยไมใส่ใส่ถุงยางอนามัยล้วนแต่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทั้งนั้น การใช้เซ็กส์ทอยหรือของเล่นต่างๆร่วมกันโดยไม่ล้างให้สะอาดหรือไม่ใส่ถุงยางอนามัยไว้ก็เกิดความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน

    อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร

    ผู้ชาย
    ผู้หญิง
    - มีหนองสีขาว เขียว หรือเหลืองออกจากอวัยวะเพศ สังเกตุได้ว่าจะทำให้กางเกงในคุณเปื้อน
    - แสบเวลาปัสสาวะ
    - ติดเชื้ออักเสบในทวารหนักหรือตา
    - ติดเชื้ออักเสบในช่องคอ
    - ปวดบริเวณอัณฑะ
    - การอักเสบของหนังหุ้มอวัยวะเพศ
    - มีหนองสีขาว เขียว หรือเหลืองออกจากอวัยวะเพศ
    - แสบเวลาปัสสาวะ
    - ติดเชื้ออักเสบในทวารหนักหรือตา
    - ติดเชื้ออักเสบในช่องคอ
    - ปวดท้องช่วงล่าง
    - เลือดออกผิดปกติขณะมีประจำเดือน

    การวินิจฉัย
    เราสามารถรู้ว่าเป็นโรคหนองในแท้หรือไม่โดยการตรวจ
    • นำหนองหรือปัสสาวะมาตรวจ PCR
    • นำหนองมาย้อมหาเชื้อ
    • นำหนองไปเพาะเชื้อ
    • ข้อสำคัญคือท่านอาจจะต้องตรวจหาโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย

    การรักษา
    เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหนองในแท้มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วยเสมอดังนั้นจึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค
    • ยาในกลุ่ม Cephalosporin ได้แก่ Cefixime 400 มิลิกรัมรับประทานครั้งเดียว หรือ Ceftriaxone 250 มิลิกรัมฉีดครั้งเดียว
    • ยาในกลุ่ม Quinolone ได้แก่ยา Ciprofloxacin 500 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Ofloxacin 400 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Levofloxacin รับประทานครั้งเดียว

    หากแพ้ยาดังกล่าวอาจจะให้ spectinomycin
    การรักษาหนองในแท้มักจะรักษาหนองในเทียมร่วมด้วยโดยการให้ doxycycline 1 เม็ดเช้าเย็นเป็นเวลา 7 วัน
    คนท้องต้องปรึกษาแพทย์
    เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้นท่านต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำและต้องพาคู่ของท่านไปตรวจรักษาด้วย

    การป้องกันติดโรคนี้
    • การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การงดมีเพศสัมพันธ์
    • มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
    • สวมถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะมีโรคติดต่อหรือไม่
    แหล่งข้อมูล : โรคหนองในแท้ Gonorrheaโรคหนองในเทียม Non Gonococcal Urethritis (NSU),

    วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

    ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ รักษาอย่างไร



    ไฮโปไทรอยด์ คือ ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism) หรือบางคนเรียกว่า ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ หรือภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน คือภาวะที่เกิดจากร่างกายพร่องหรือขาดไทรอยด์ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ทำงานลดลง หรือไม่สามารถสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนได้ ซึ่งเมื่อเกิดจากตัวโรคของตัวต่อมไทรอยด์เองเรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนปฐมภูมิ (Primary hypothyroidism) และเมื่อเกิดจากโรคของต่อมใต้สมอง หรือโรคของสมองไฮโปธาลามัสแล้วส่งผลกระทบมายังการทำงานของต่อมไทรอยด์  (Thyroid-stimulating hormone -TSH) เรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนทุติยภูมิ (Secondary hypothyroidism) หรืออาจเกิดจากสมองส่วนไฮโปทาลามัสซึ่งมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นต่อมใต้สมองอีกชั้นหนึ่งหลั่งฮอร์โมนกระตุ้น ( thyrotropin-releasing hormone-TRH) ไม่พอ ซึ่งเรียกไฮโปไทรอยด์ชนิดนี้ว่าเป็น Tertiary hypothyroidism
    ในกรณีที่ต่อมใต้สมองต้องผลิตฮอร์โมนกระตุ้น ( TSH) มากกว่าผิดปกติแต่ยังจะพอทำให้ฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์มีจำนวนปกติอยู่ได้ เรียกภาวะนี้ว่าเป็นโรคไฮโปไทรอยด์ที่ยังไม่มีอาการ (Subclinical hypothyroidism)
    ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นอวัยวะหนึ่งในระบบต่อมไร้ท่อ ตั้งอยู่ด้านหน้าของลำคอ ในส่วนหน้าต่อลูกกระเดือก หรือกระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid cartilage) มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ประกอบด้วย 2 กลีบใหญ่ คือ กลีบด้านซ้าย และกลีบด้านขวา ซึ่งทั้งสองกลีบเชื่อมต่อถึงกันด้วยเนื้อเยื่อบางๆที่เรียกว่า อิสธ์มัส (Isthmus) ซึ่งต่อมไทรอยด์ปกติไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และไม่สามารถคลำพบได้
    ต่อมไทรอยด์ สร้างฮอร์โมนสำคัญ 3 ชนิด คือ ไทรอกซีน หรือ ที4 (Thyroxine, T4) ไตรไอโอโดไธโรนีน หรือ ที3 (Triiodothyronine, T3) และ แคลซิโทนิน (Calcitonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญน้อยกว่า ฮอร์โมน ที4 และ ที3 เป็นอย่างมาก ดังนั้นโดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึง ไทรอยด์ฮอร์โมน จึงมักหมายความถึงเฉพาะฮอร์โมน ที4 และ ที3 เท่านั้น ฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 มีหน้าที่สำคัญมาก คือ ควบคุมดูแลการใช้พลังงานทั้งจากอาหาร และจากออกซิเจน หรือ ที่เรียกว่า เมตาโบลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโต เพื่อการทำงาน และเพื่อการซ่อมแซมเซลล์ที่บาดเจ็บสึกหรอ และยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายด้วย ส่วนฮอร์โมนแคลซิโทนิน มีหน้าที่ช่วยควบคุมการทำงานของเกลือแร่แคลเซียมในร่างกายให้อยู่ในสมดุล
    ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมที่ทำงานโดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) และของสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus เป็นสมองส่วนหนึ่งของสมองใหญ่/Cerebrumโดยอยู่ในส่วนลึกกลางสมองใหญ่) ซึ่งทั้งต่อมใต้สมอง และสมองไฮโปธาลามัส ยังควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่นๆด้วย เช่น ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ และยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ และจิตใจ ดังนั้น การทำงานของต่อมไทรอยด์ รวมทั้งโรค หรือ ภาวะผิดปกติต่างๆของต่อมไทรอยด์ จึงสัมพันธ์กับการทำงาน และโรคต่างๆของอวัยวะเหล่านั้น รวมถึงความสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ
    ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นภาวะพบได้บ่อยภาวะหนึ่ง พบได้ประมาณ 2-5% ของประชากรทั่วไป โดยพบได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กแรกเกิด (พบได้ประมาณ 1 คนในเด็กเกิดใหม่ทุก 3,000-4,000 คน) ไปจนถึงผู้สูงอายุ (ประมาณ 15% ของผู้มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป) พบในผู้หญิงได้บ่อยกว่าในผู้ชายถึงประมาณ 2-8 เท่า

    สาเหตุการเกิดภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
    สาเหตุของ ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนปฐมภูมิ มีได้หลากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อย คือ

    • โรคต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเองของต่อมไทรอยด์
    • โรคต่อมไทรอยด์อักเสบ ฮาชิโมโต (Hashimoto’s thyroiditis)
    • การผ่าตัดต่อมไทรอยด์
    • การกินแร่ น้ำแร่รังสีไอโอดีนในการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือการรักษาโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์
    • การฉายรังสีรักษาในการรักษาโรคมะเร็งในบริเวณลำคอซึ่งจะโดนต่อมไทรอยด์ไปด้วย
    • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ส่งผลกดการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ เช่น ยา/สีที่ใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดดำในการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ยาบางชนิดในการรักษาโรคทางด้านจิตเวช โรคลมชัก โรคเบาหวาน และโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (เช่น โปแตสเซียมเปอร์คลอเรท/Potassium perchlorate ที่เป็นยาลดการจับกินธาตุไอโอดีนของเซลล์ต่อมไทรอยด์)
    • ไม่มีเซลล์ต่อมไทรอยด์แต่กำเนิด หรือเซลล์ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้น้อยแต่กำเนิด (Congenital hypothyroid)
    • โรคบางชนิดที่ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานลดลง เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroder ma)

    สาเหตุของ ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนทุติยภูมิ ซึ่งมีได้หลากหลายสาเหตุเช่นกัน ที่พบบ่อย คือ

    • โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง
    • การผ่าตัดต่อมใต้สมอง เช่น ในการรักษาโรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง
    • การฉายรังสีรักษาโรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง
    • มีเลือดออกในต่อมใต้สมองจากต่อมใต้สมองได้รับอุบัติเหตุ (อุบัติเหตุในส่วนของศีรษะ)
    • โรค หรืออุบัติเหตุต่างๆของสมองที่ส่งผลถึงการทำงานของสมองส่วนไฮโปธาลามัส เช่น โรคเนื้องอกและมะเร็งสมอง

    อาการของภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
    อาการจากภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆเกิดอาการ ไม่ใช่อาการที่เกิดเฉียบพลัน นอกจากนั้นยังมีได้หลายๆอาการร่วมกัน ทั้งนี้ความรุนแรงของอาการขึ้นกับว่าขาดฮอร์โมนในปริมาณเล็กน้อย หรือในปริมาณมาก ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย คือ
    อ้วน ฉุ บวม ที่ใบหน้า รอบดวงตา ลำตัว แขน มือ ขาและเท้า
    หัวใจเต้นช้า เหนื่อยง่าย
    ช้า เซื่องซึม
    ง่วงนอนตลอดเวลา
    เมื่อเกิดในเด็ก เด็กจะเจริญเติบโตช้า เตี้ยกว่าเกณฑ์มาก
    ท้องผูก
    เหงื่อออกน้อย
    ทนหนาวไม่ได้ ตัวเย็นกว่าคนทั่วไป
    ผมร่วง ผิวหนังหยาบ แห้ง คัน
    เล็บด้าน เปราะ ฉีก แตก ง่าย
    ขนคิ้วบางโดยเฉพาะในส่วนปลายๆของคิ้ว
    กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อย กล้ามเนื้อลีบ
    ปวดข้อต่างๆ
    พูดเสียงแหบ
    มีภาวะซีด
    ไม่มีสมาธิ เมื่อเกิดในเด็ก สติปัญญาจะต่ำกว่าเกณฑ์
    มีไขมันในเลือดสูง (โรคไขมันในเลือดสูง)
    ในผู้หญิง ประจำเดือนจะผิดปกติ เช่น มาแต่ละครั้งในปริมาณมากและนาน ในผู้ชายอาจมีนมตั้งเต้า (Gynecomastia)
    ความรู้สึกทางเพศลดลง เป็นหมัน ซึมเศร้า
    บางคนอาจมีลิ้นใหญ่ และ/หรือหูได้ยินเสียงลดลง
    อาจมีต่อมไทรอยด์โต หรือโรคคอพอก (โรคของต่อมไทรอยด์)

    การรักษา
    ไฮโปไทรอยด์รักษาได้ผลดีด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน โดย T4 ทดแทนด้วย levothyroxine -LT4 (Synthroid) ยานี้ไม่ควรกินพร้อมกับวิตามิน ที่มีเหล็กและแคลเซียม ขนาดที่ให้คือกิน 1.6 mcg/kg ต่อวัน ในคนสูงอายุหรือเป็นโรคหัวใจควรเริ่มขนาด ¼ ของปกติแล้วค่อยๆเพิ่มทุก 4-6 สปด. จนได้ขนาด maintenance คือ 50-200 mcg ต่อวัน ในกรณีใช้รักษา myxedema coma ให้ครั้งเดียว 200-250 mcg ฉีดเข้า IV
    เนื่องจากผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีปัญหาในการเปลี่ยน T4 เป็น T3 วิธีป้องกันปัญหานี้จึงอาจเลี่ยงไปใช้ยา Armour thyroid ซึ่งมีทั้ง T3 และ T4 แทน โดยใช้ขนาด 90 มก. แบ่งให้ครึ่งเม็ดหลังอาหารเช้า อีกครึ่งเม็ดหลังอาหารเย็น เพราะ T3 มี half life สั้น หากให้วันละครั้งจะไม่พอรักษาระดับฮอร์โมนในเลือด
    อีกวิธีหนึ่งคือให้ triiodothyroxin หรือ T3 (Cytomel) ควบกับ T4 ซึ่งในกรณีนี้ T3 ต้องแบ่งให้วันละ 2 ครั้งเช่นกัน
    ระบบความคุมการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ( hypothalamic-pituitary axis) ต้องปรับตัวนานหลายเดือนกว่าจะเห็นว่าฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ( TSH) ลดลงมาสู่ระดับปกติ คือ 0.40-4.2 mIU/L ซึ่งเป็นเป้าหมายของการรักษา
    ผู้ได้รับยาควรติดตามอาการหัวใจเต้นเร็ว ตาพร่า ใจสั่น ประสาทเสีย ตื่นตกใจง่าย เหนื่อย ปวดหัว นอนไม่หลับ มือสั่น อาการเจ็บหน้าอกถ้าเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว และอาจทำให้เกิดไฮเปอร์ไทรอยด์แบบไม่มีอาการ ( Subclinical hyperthyroidism) ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดโรคกระดูกพรุน
    ในกรณีผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Subclinical hypothyroidism (คือ TSH สูง แต่ T3-4 ปกติ) จะให้การรักษาเฉพาะเมื่อคาดหมายว่าจะเกิดไฮโปไทรอยด์รุนแรงเท่านั้น โดยดูจากการมี
    ( 1 ) TSH สูงกว่า 10 mIU/L หรือ
    ( 2 ) มีภูมิคุ้มกัน ( antibody) ที่ไปจับทำลายเอ็นไซม์ thyroid peroxidase ( P Ab )
    ( 3 ) มีอาการแบบไฮโปไทรอยด์

    การป้องกันภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
    เมื่อดูจากสาเหตุแล้ว การป้องกันภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นเรื่องยาก เพราะมักเกิดจากการรักษาโรคต่างๆ และสาเหตุแต่กำเนิด ดังนั้นที่ดีที่สุด คือ การสังเกตอาการตนเองเสมอ เมื่อพบมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัย และการรักษาแต่เนิ่นๆ อีกประการดังกล่าวแล้วว่าสาเหตุของภาวะนี้ อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดได้ ดังนั้นในการใช้ยาต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อซื้อยาใช้เอง จึงควรปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนเสมอ รวมทั้งอ่านเอกสารกำกับยาให้เข้าใจ และควรรู้ว่ายาชนิดนั้นๆ อาจมีผลข้างเคียงอะไรได้บ้าง

    อาหารควรทานหรือหลีกเลี่ยง

    แหล่งข้อมูล : ไฮโปไทรอยด์ ( Hypothyroidism)
    - นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
    - นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต

    Comment

    เรื่องเล่าโพสเมื่อ

    ขับเคลื่อนโดย Blogger.

    Popular Posts

    Contact Us

    ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
    Mail : mbkrattanakorn@gmail.com