วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559






ขอเชิญอ่านหนังสือ คำศัพท์ที่เกี่ยวเนื่องกับงานพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในรูปแบบ e-book และดาวน์โหลดในรูปแบบ PDF
หรือ

เป็นเอกสารที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมเผยแพร่ให้อ่านฟรี ห้ามขายนะ!!


เสียงสะอื้นกลืนเศร้าเคร้าลมโศก
พาพัดโบกนทีลั่นเกลียวปั่นป่วน
ทั่วหล้าน้ำตาหลั่งดั่งหยาดโลหิต
อาลัยจิตองค์พ่อหลวงสู่คาลัย

ขอน้อมส่งเสร็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร
สยามินทราธิรา บรมนาถบพิตร
เสด็จสู่สวรรคาลัย

ข้าบาทจะขอเป้นข้ารองบาททุกชาติไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า Secrets of Life Game

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

จวินม่อเซี๋ย ในจณะนี้เขามีอายุ 16 ปี เขาเป็นลูกหลานของทายาทสายตรงที่ยังเหลืออยู่เพียงคนเดียวของรุ่นเยาว์ในบ้านตระกูลจวินแห่งอาณาจักรเทียนเฉียง เป็นคนที่ไม่ยอมทำงาน เป็นพวกที่ไม่สามารถหาดีได้ ขี้เกียจสันหลังยาว เป็นพวกไร้สาระ เป็นขยะสังคม เป็นพวกที่มีชีวิตเอ้อระเหยไปวันๆ ค่อยจะกินอย่างเดียว ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป ช่างเป็นคนที่เป็นจุดสูญรวมของความหายนะ ของพวกกลุ่มคนชั้นสูง กล่าวสั้นๆ คือ มีชีวิตอยู่ช่างไร้ค่ายิ่งกว่าเหล่าพยาธิทั่วไป

นี้เป็นข้อมูลตัวตนใหม่ของร่างกายที่จวินเซี๋ยอาศัยอยู่

ไม่น่าแปลกใจที่ร่างกายของเจ้าจะถูกข้ายึดครอง ข้ามีฉายา "จอมโฉด" และถูกตั้งชื่อว่าจวินเซี๋ย ในโลกเก่า  ขณะที่เจ้าถูกเรียกว่า  ม่อเซี๋ย* นี้ไม่ใช่เป็นความผิดติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือไง? เจ้าไม่มีความละอายใจเลยรึ? สิ่งที่เกิดนี้ไม่ใช่เรื่องอยุติธรรมสำหรับเจ้าไปทั้งหมดหรอก!
[*TL: ในการออกเสียงภาษาจีนนั้น ชื่อ จวินม่อเซี๋ย ตัวอักษร  ม่อเซี๋ย เขียนในรูปพินอินคือ "mò xié" ซึ่งมีความหมายว่า "ไม่ทำสิ่งเลวร้าย"]

เมื่อเขาพยายามนึกทบทวนความทรงจำเก่าๆ และการกระทำในอดีตทั้งหมดของนายน้อยจวิน จวินเซี๋ยได้แต่ทอดถอนใจ ถ้าเขาพบกับเศษสวะแบบนี้ในอดีตของเขา เขาจะต้องกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขา 'สมัครใจ' ที่จะสังหารด้วยตนเอง แม้ตัวเขาในอดีตที่ผ่านมานั้นเขาจะไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ทำไมข้าต้องกลายเป็นกากเดนของสังคมเช่นนี้? จวินเซี๋ยอดนึกถึงหลักคำสอนในพุทธศาสนาไม่ได้ ในข้อที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องเหตุและผล ที่มักจะได้ยินคนพูดว่า ถ้าปัจจุบันเจ้าฆ่าสุกรสุกรเป็นจำนวนมาก ระวังในชาติหน้าเจ้าจะต้องการเป็นสุกรเหล่านั้น! ดูท่าแล้วคำพูดนี้ป็นจริงอยู่มาก หลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้น เนื่องจากในชาติที่แล้วจวินเซี๋ยเองก็ฆ่าพวกกากเดนสังคมแบบนี้นับไม่ถ้วนเป็นมากจริงๆ! 

ท่านปู่ของเจ้าลูกคุณหนูเสเพลคนนี้ คือ จวินจ้านเทียน มีตำแหน่งมหาเสนาบดีและเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในกองทัพแห่งอาณาจักร ส่วนท่านพ่อของเขา จวินหวู๋ฮุ่ย ก็เคยเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักร แต่ท่านเสียชีวิตขณะต่อสู้เมื่อสิบปีก่อน ทำให้ท่านแม่ของเขาตรอมใจตายตามภายหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ขณะที่พี่ชายทั้งสองของเขา จวินม่อโหย่วและจวินม่อโช๋ว ถูกสังหารในสนามรบในการต่อสู้ที่กล้าหาญ!

นอกจากนี้ยังมีท่านลุงอีกคน  จวินหวู๋อี้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงครามเมื่อสิบปีที่ผ่านมาเช่นกัน  แม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตรอดแต่ก็ต้องเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป....


-/|\- ขออภัยมาขณะที่นี้คะ เนื่องจากผู้แปลหลังจากเริ่มแปลเรื่องนี้ก็มีงานเข้ามามาก จึงจำต้องขอตัวทำงานเก็บเงินก่อน แต่ไม่ได้ทิ้งนะคะ จะพยายามแปลแล้วอัพวันเว้นวัน แต่อาจจะไม่ได้แปลที่เดียวจบตอนเลยนะ มาบอกไว้ก่อนจะมีคนบ่นว่าทิ้งอ่ะ ไม่ได้ทิ้งนะ แปลต่อแน่ๆ จ้า

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

ออกกำลังกายท่าแกว่งแขน รักษากรดไหลย้อน

Credit : Riya www.eduzones.com
ความรู้ทั่วไปและที่มาของการแกว่งแขน 

มีคำกล่าวว่า ทฤษฏี"เลือดลม" เป็นของแพทย์แผนโบราณจีน
เพราะมีหลักฐานทางทฤษฏีอยู่ ตามทัศนะของแพทย์แผนโบราณจีน คำว่า "เลือด" โดยทั่วไปแล้วเข้าใจได้ง่าย แต่เลือดในความหมายของแพทย์จีนโบราณ มิได้หมายถึงแต่เพียงความเข้มหรือจางของเลือด เม็ดเลือด เม็ดเลือดแดงมีจำนวนเท่าไร อีโมโกลบินเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นการค้นคว้างในภาวะหยุดนิ่ง แยกออกจากกันเท่านั้น หากแต่ใช้สายตามองกระบวนการทาสรีรศาสตร์และกระบวนการไหลเวียนของเลือดทั้งกระบวนการ
ทฤษฎีการแพทย์แผนโบราณจีนมีลักษะเป็นปรัชญาอยู่มาก มีการประมวลผลในระดับสูงเมื่อพูดถึงเลือด ก็ย่อมจะไม่มองมันอย่างโดดเดี่ยวในฐานที่เป็นเลือดหยดเดียวหรือเลือกกองหนึ่ง ที่แยกตัวออกจากร่างกายอย่างไร้ชีวิตชีวา แต่พินิจพิจารณาเลือดในภาวะที่เคลื่อนไหวอยู่ ตลอดจนกระบวนการทางสรีศาสตร์อื่นๆด้วย
ในทำนองเดียวกัน "ลม"ในการแพทย์แผนโบราณจีนก็เหมือนการดู "สีหน้า"(เลือดลม)ของหมอก็เป็นเพียงด้านเดียว"ลม" หายใจที่หาใจกันทั่วไปก็รวมความหมายไม่ครบถ้วน"ลม"ในความหมายนี้ อาจจะเป็นพลังงานความร้อนร่างกายของเรา หลายคนมองกระบวนการทำงานในร่างกายคนเราเหมือนโรงงาน ที่ไม่มีวันหยุดผลิต แม้ในยามหลับ และกระบวนการทางสรีรศาสตร์ของร่างกายมนุษย์ย่อมจะแตกต่างจากกระบวนการเลื่อนไหวของโรงงาน โดยคำนึงถึงสมอง การหดตัวของปอด การเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด การบีบตัวของกระเพาะลำไส้ ล้วนจำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังงานความร้อนไปในระดับที่แน่นอน ทั้งไม่รวมถึงพลังงานที่คนเราได้เสียไป ในการส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมภายใน ดังนั้นคนเราต้องรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ในระดับที่แน่นอน พลังงานความร้อนพอ สีหน้า เลือดลม ก็ดี พลังงานความร้อนไม่พอหน้าตาก็จะหมองคล้ำ

การออกำลังด้วยการบริหารแบบนี้ สามารถบำรุงและเสริมสร้างโลหิตได้ก็เพราะ เมื่อกระเพาะและลำไส้ ได้รับการออกกำลัง จึงเสมือนกับได้รับการนวดเฟ้น ก็จะเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ทำให้กระเพราะอาหาร และลำไส้ สามารถรับเอาอาหารไปบำรุงร่างกาย ได้อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่มีชีพจรเต้นช้ากว่าปกติ ก็เพราะการหมุนเวียน ของโลหิตติดขัด และปริมาณของโลหิตไม่เพียงพอ การบริหารแกว่งแขนจะทำให้มือและเท้าได้รับการบริหาร และหลังของเรา จะพลอยได้รับการเคลื่อนไหวด้วย สิ่งกีดขวางทางเดิน ของเลือดลมในทรวงอก และช่องท้องจะถูกขจัดไป โลหิตที่คั่งก็จะกระจายหายคั่ง เมื่อนั้นชีพจรจึงจะเต้นเป็นปกติ
การแก้ไขชีพจรให้ดีได้ ก็โดยถือหลักของแพทย์จีนแผนโบราณที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า “ชีพจรขึ้นมาจากส้นเท้า” เวลาทำกายบริหารแกว่งแขน น้ำหนักการทรงตัวทั้งหมดอยู่ที่เท้า เมื่อเท้าได้รับการออกแรงก็เปรียบเหมือนต้นไม่ที่ใช้รากยึดเกาะถึงพื้นดิน และคล้ายกับการตอกเสาเข็มซึ่งตอกลึกลงไป ๆ ทำให้เกิดมีอาการบีบนวดเลือดลมที่บริเวณเท้า แล้วส่งกระจายออกไปทั่วร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระดูก ไขข้อ ก็จึงไม่ยากที่จะแก้ไขได้
ดังนั้นกายบริหารแกว่งแขน จึงมีประสิทธิภาพในการบำบัดโรคภัยเรื้อรังและร้ายแรงต่าง ๆได้อย่างเกินความคาดฝันทีเดียว

กายบริหารแกว่งแขน เพื่อรักษาโรคอัมพาต
โรคอัมพาตหรืออาการที่ตายไปครึ่งตัว เป็นลม ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ ส่วนมากโรคเหล่านี้ มักจะเกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้นเพราะ เลือดลมภายในร่างกาย ขาดความสมดุลยซึ่งกระทบกระเทือนการไหลเวียนแจกจ่ายของเลือดลม และทำให้ชีพจร กล้ามเนื้อ และกระดูกไขข้อ เกิดการแปรปรวนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏว่าชีพจรทั้งสองข้างเต้นไม่เท่ากัน คือข้างหนึ่งเต้นเร็วอีกข้างหนึ่งเต้นช้า การเต้นของชีพจรบางครั้งต่างกัน 10 – 20 ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเกิดปฏิกิริยาโดยมือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง มีอาการรู้สึกปวดเมื่อย หรือชา ขาดความรู้สึก ที่จริงส่วนบนกับส่วนล่างก็มักมีปัญหาเช่นกัน ได้แก่ ส่วนบนเลือดคั่ง แต่ส่วนล่างเลือดกลับเดินไม่ถึงเช่นนี้
เหตุใดการออกกำลังโดยการแกว่งแขนจึงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างชะงัด
การออกกำลังแบบนี้ มิเพียงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้ แต่ยังสามารถป้องกันการเป็นลมอีกด้วย การที่คนเราเกิดเป็นลมขึ้นมา ก็เพราะการไหลเวียนของโลหิต ทั้งสองด้านของร่างกายขัดแย้งกัน ดังนั้นชีพจรจึงแสดงการไม่สมดุลกันออกมาให้ปรากฏ
แพทย์จีนแผนโบราณให้คำอธิบายไว้ว่า “ชีพจรนั้นได้เริ่มจากส้นเท้า” การทำกายบริหารแกว่งแขนมีประโยชน์ก็เพราะหลังจากแกว่งแขนแล้ว ชีพจรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่สภาพปกติ ชีพจรเป็นเสมือนตัวแทนของอวัยวะภายในร่างกายของคนเรา สาเหตุของโรคอัมพาตก็คือ ศีรษะหนักเท้าเบา ซึ่งเท่ากับส่วนบนหนัก ส่วนล่างว่าง กรณีเช่นนี้จึงเป็นความผิดปกติอย่างยิ่งเพราะที่ถูกต้องร่างกายของคนเราส่วนบนต้องเบา และส่วนล่างต้องหนัก

กายบริหารแกว่งแขนเพื่อพิชิตโรคมะเร็ง
สมุฏฐานของโรคมะเร็งคืออะไร
ตามหลักการแพทย์จีนโบราณ มะเร็งและเนื้องอกเป็นผลจากการรวมตัวเกาะกันเป็นก้อนของเลือดลม และเส้นชีพจรติดขัด ระบบ การขับถ่ายของเสีย ไม่ทำงาน การหมุนเวียนของโลหิตไม่สะดวก และโลหิตไหลช้าลง นำเหลือง น้ำดี น้ำเมือก เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เมื่อการหมุนเวียนของโลหิตขาดประสิทธิภาพ และทำงานไม่เต็มที่ พลังงานหรือความร้อนก็ไม่เพียงพอ จึงทำให้ระบบขับถ่าย และระบบ ย่อยอาหารไม่ทำงาน แต่เมื่อทำกายบริหารแกว่งแขนแล้วจะช่วยให้เจริญอาหาร เม็ดเลือดจะเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อที่ไหล่ทั้ง 2 ข้างได้รับการออกกำลัง อาการเกร็งซึ่งแบกรับน้ำหนักอยู่ตลอดเวลาก็จะหายไป เยื่อบุช่องท้องจะได้รับการบริหารขึ้น ๆ ลง ๆ ตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะทำปฏิกิริยากระตุ้นและบีบบังคับลม เคลื่อนไหวระหว่างไต เมื่อโลหิตสามารถผลิตความร้อน ก็จะเกิดพลังในการรับของใหม่ แล้วถ่าย ของเก่าออก เช่นนี้แล้ว จึงมีประโยชน์ทางบำรุงเลือดลมด้วย
อนึ่งจากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่งดบริโภคเนื้อสัตว์ หันมารับประทานอาหารพืชผัก อาหารมังสวิรัต อาหารเจ ซึ่งมีปริมาณใยมาก จะช่วยให้เลือดในกายสะอาด สามารถขับพิษออกจากร่างกายได้เร็ว และส่งผลให้การแกว่งแขนบำบัดโรคประสบผลเร็วยิ่งขึ้น

กายบริหารแกว่งแขนกับการรักษาโรคตา
การทำกายบริหารแกว่งแขน มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคตา มีบางท่านใช้แว่นสายตาหนามาก แต่เมื่อได้ทำกายบริหารแกว่งแขน ระยะหนึ่ง กลับไม่ต้องใช้แว่นอีกเลย มีบางคนอ่านหนังสือพิมพ์รู้สึกลำบาก มองไม่ค่อยจะเห็น อ่านแต่ละตัวต้องเพ่งแล้วเพ่งอีก หนังสือ (เน่ยจัง) คัมภีร์แพทย์เล่มแรกของจีนกล่าวไว้ว่า “ตาเมื่อได้รับเลือดหล่อเลี้ยงจึงสามารถมองเห็น” แสดงว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่เลือด เมื่อเลือด เดินไปไม่ทั่วถึง ทุกส่วนของร่ายกายก็จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างแน่นอน ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั่วร่างกายมีส่วนสัมพันธ์กันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ชีพจร เส้นเลือด ทางลม หากเลือดหมุนเวียนทั่วทุกส่วน เราก็จะรู้สึกสบาย ไม่เจ็บป่วย ถ้าใครคิดว่า ดวงตานั้นมีระบบอยู่อย่างเอกเทศ ตัดขาด จากกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้เมื่อเราได้ทำกายบริหารแกว่งแขนทั่ว ๆ ไป จะรู้สึกเจริญอาหาร เดินกระฉบับกระเฉง นอนหลับสบาย ท้องก็ไม่ผูก ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกาย (METABLISM) นั้นทำงานดี

กายบริหารแกว่งแขนรักษาโรคตับ
กายบริหารแกว่งแขน สามารถรักษาโรคตับแข็ง และโรคท้องมานให้หายขาดได้ ถ้าเป็นตัวบวมหรือตับอักเสบ การแกว่งแขน ก็จะยิ่งรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าตัวการที่ทำให้เกิดโรคประเภทนี้ก็คือ เลือดลมเช่นกัน การที่เลือดลมผิดปกติ จะทำให้ตับเกิดปฏิกริยา เกิดมีน้ำขังและไม่สามารถขับถ่ายออกได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะรู้สึกจุกแน่น อึดอัดจนกระทบกระเทือนไปถึงกระเพาะ ม้าม และถุงน้ำดีด้วย เมื่อเราทำกายบริหารแกว่งแขน ก็จะขจัดปัญหาเหล่านี้ไปได้ เป็นต้นว่า เมื่อลงมือทำการแกว่งแขนจะมีอาการเรอ สะอึด ผายลม อาการเหล่านี้เป็นสิ่งดีอันเนื่องจากผลทางการรักษาโรค ทั้งนี้ก็เพราะเข้ากฎเกณฑ์ตามตำราจีนแผนโบราณที่ว่า “เลือดลมผ่านตลอดทั้งสามจุด”
“จุดสามจุด” ตามตำราแพทย์จีนโบราณหมายถึง 1 ทางข้าว 2. ทางน้ำ 3. เนินที่เริ่มต้น และจุดที่สิ้นสุดของลม ได้แก่ จุดบน อยู่ที่ปากกระเพาะด้านบน มีหน้าที่รับเข้าไม่รับออก จุดล่าง คือ ภายในส่วนกลางของกระเพาะ มีระดับไม่สูงไม่ต่ำ มีหน้าที่ย่อยข้าวน้ำ จุดต่ำ อยู่เหนือกระเพาะปัสสาวะ มีหน้าที่แบ่งแยกสิ่งสะอาดและสิ่งสกปรกออกจากัน และมีหน้าที่ขับถ่าย
เมื่อตับเกิดอาการแข็ง ส่วนที่แข็งคือส่วนที่ต้องตายไป อาการแข็งเป็นเรื่องของวัตถุธาตุซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสมรรถภาพที่เสื่อมถอย ไม่มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังมีสิ่งขัดแย้งเป็นปัญหาอีกก็คือ เลือดที่เสียคั่งค้างไม่เดิน เพราะแรงขับดันเคลื่อนไหวไม่พอ เมื่อทำกายบริหารแกว่งแขน ก็จะกระตุ้นให้เลือดลมตื่นตัวหมุนเวียนเร็วขึ้น และจะทำให้เจริญอาหาร ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด เปิดทวารทั้งเก้าและรูขน ตับที่อยู่ในสภาพเกาะติด จนแข็ง ก็จะเริ่มฟื้นตัวมีชีวิตใหม่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ตับที่แข็งก็จะกลายเป็นอ่อน นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอย่างหนึ่ง
เมื่อเรากล่าวถึง สภาพการแข็งตัวก็คือการต่อสู้ระหว่างพลังใหม่กับพลังเก่า จากผลของการต่อสู้ หากพลังเก่าได้ชัยชนะ โรคก็จะกำเริบ หนักขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากพลังใหม่มีอำนาจเหนือพลังเก่า สิ่งที่อยู่ในสภาพแข็งตัวก็จะค่อย ๆ อ่อนลง การแกว่งแขนนั้น ให้คุณประโยชน์ ทางเสริมสร้างพลังใหม่ ให้สามารถต่อสู้กับสภาพแข็งตัวของตับได้ ความรู้ที่ค้นพบนี้นับว่า เป็นอัจฉริยะ ชิ้นโบว์แดง ในวงการแพทย์จีนโบราณทีเดียว

ที่มาจาก 
http://gerdgirl.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559





จู่ๆ จวินเซี๋ยก็ลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน

แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ลืมตา แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้เขายื่นมือขวาออกมาตบที่พื้นข้าง เพื่อที่เขาจะยันกระโดดออกจากบริเวณนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เขารู้สึกถึงอันตรายต่อความเป็นความตายของชีวิตเขา ไม่สามารถอยู่ที่นี้ได้ยาว เขาต้องรีบออกไปจากที่นี้เดี่ยวนี้!

นี่เป็นความคิดแรกที่ปรากฎขึ้นมาใจของเขา ทันทีที่เขาตื่นมา เนื่องจากสภาวะของจิตใจที่ได้รับจากฝึกฝนในอดีตจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณติดตัวของการเป็นนักฆ่าที่ดีเยี่ยม

ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังจะลอยขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแขนของเขาอ่อนแอและไม่สามารถที่จะรองรับน้ำหนักของร่างกายของเขา ปัง! เขาตกลงไปกระแทกกับพื้น

จวินเซี๋ยตกอยู่ในสภาวะช็อกอย่างรุนแรงสักครู่ นี้มันเกิดอะไรขึ้น? จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าร่างกายของเขาแท้จริงแล้วกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่ม! เมื่อมองสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงามและค่อนข้างสหรูหรา เพียงแต่ มันเป็นห้องที่ว่างเปล่า นอกเหนือไปจากพื้นที่สี่เหลี่ยม ทางด้านซ้ายมือที่ตอนนี้มือของเขาวางอยู่บนมันจนถึงเมื่อครู่คือ "เตียงยักษ์" มันเป็น "เตียงยักษ์" จริงๆ เพราะเตียงขนาดยักษ์นี้สามารถให้คนนอนได้อย่างน้อยเจ็ดหรือแปดคนที่ได้โดยไม่รู้สึกแออัดเลย!

นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าข้ากำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่หรอ? แล้วข้ามาอยู่บนเตียงได้ไง?

ความคิดของจวินเซี๋ยยังคงติดอยู่ในช่วงของความทรงจำก่อนที่เขาจะนอนหลับ หรือควรจะพูดให้ถูกคือ... เขาต้องพักชั่วคราว หลังจากความทรงจำล่าสุดของเขาคือ เรื่องราวชีวิตประจำวันในอดีตที่ผ่านมาของเขา หรือว่าเขาจะระลึกชาติได้... 



จวินเซี๋ยเป็นนักฆ่า และมันยังเป็นนักฆ่ามือทองที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่วันที่มันเปิดตัว ในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสถานที่ที่เขาไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มและอัตราของเขาที่ประสบความสำเร็จคือ ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นนักฆ่าหมายเลขหนึ่งในการจัดอันดับของพวกมือสังหาร ในเวลาเดียวกันชื่อ "จอมโฉด" ผงาดขึ้นไปที่จุดสูงสุดของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการจัดการโลกมืด และเขายังครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของผู้มีเงินรางวัลค่าหัวสูงสุด อันที่จริง เขาได้ครองตำแหน่งผู้มีเงินรางวัลค่าหัวสูงสุดในโลกอย่างเหนียวแน่มาตลอด 3 ปี

นี้ไม่ใช่ว่าไม่มีใครกล้าที่จะฆ่าเขา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถทำได้! ไม่มีใครที่มีความสามารถพอที่ฆ่าเขา ไม่มีใครที่มีสามารถมากพอที่จะเทียบเคียงกับนักฆ่าตำนานคนนี้* นับประสาอะไรที่จะมาฆ่าเขาได้!

มีนักฆ่ารุ่นใหม่จำนวนที่นับไม่ถ้วนที่สนใจรับงานนี้ แต่รางวัลเดียวที่พวกเขาได้รับคือความตาย ขณะที่ "จอมโฉด" ก็ยังมีชีวิตอยู่

เศรษฐีจากประเทศY คนหนึ่งเคยตั้งเงินรางวัลค่าหัวที่น่าตื่นตกใจเพื่อซื้อชีวิตของ "จอมโฉด" ผู้ที่ยอมรับข้อเสนอนี้มีสองคน ซึ่งทั้งสองเป็นนักฆ่าชั้นนำระดับโลกมีชื่อเสียงเทียมเท่ากับ "จอมโฉด" แต่...พวกเขาเสียชีวิตภายในสามวันต่อมา

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากจะรับงานที่เหมือนกับการฆ่าตัวตายนี้ แม้ภายหลังจะมีการเพิ่มเงินรางวัลขึ้นอีกหลายครั้ง ยังไม่มีใครกล้าพอที่ก้าวขึ้นรับงานนี้

ไม่ว่าจะมีเงินทองชื่อเสียงมากแค่ไหน มันจะมีความสุขได้อย่างไงหากคุณไม่มีโอกาสได้ใช้มัน? ต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละถึงจะสามารถมีความสุขและสนุกไปกับการใช้

ฉายา "จอมโฉด" กลายเป็นชื่อต้องห้ามท่ามกลางรายชื่อสำหรับล่าฆ่าหัวขององค์กรใต้ดิน

ชื่อ "จอมโฉด" กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวต่อองค์กรของพวกใต้ดินในแต่ละประเทศ อาจจะมีหลายคนที่รู้ถึงตัวตนของ "จอมโฉด" คนนี้ แต่ไม่มีใครจะรู้ว่าลักษณะที่แท้จริงของจอมโฉดเป็นอย่างไร ราชานักฆ่าคนนี้จะเป็นคนแบบไหน? เป็นเขาหรือเธอคืออะไร? นิสัยของ "จอมโฉด" จะเป็นอย่างไร?

นิสัยของจวินเซี๋ยแท้จริงแล้วก็เหมือนกับชื่อของเขา สรุปได้ในหนึ่งคำคือ ชั่วร้าย! สองคำ: ชั่วร้ายมาก!! สามคำ: ชั่วร้ายมากมาก**!!!

เขามักจะทำงานเพียงคนเดียวเสมอ ไม่ต้องการที่จะทำงานร่วมกันใคร ไม่จำเป็นต้องกว่าวถึงเพื่อน เขาไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนแม้แต่คนหรือครึ่งคน นอกจากนี้การที่เขายังจุกจิกเรื่องการรับงาน จะรับงานหรือไม่นั้น ไม่เพียงจะเลือกลูกค้าของเขา แต่ยังเลือกเป้าหมาย!

ถ้าหากเขาพบว่าลูกค้าที่น่ารังเกียจเสนอรางวัลมหาศาล เพื่อที่จะฆ่าขอทานไร้ที่พึ่ง เขาจะปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่เมื่อเขาเห็นคนที่สมควรตาย เขาจะลอบสังหารบุคคลดังกล่าวทันทีด้วยความเต็มใจ หลังจากนั้นเขาจะไปตามหาศัตรูบุคคลดังกล่าวและเพื่อถามหาค่าจ้างจากพวกเขา และก็ไม่มีทางปฏิเสธ! และบ่อยครั้งที่คนโชคร้ายเหล่านี้มักจะเป็นคนที่ไม่เคยว่าจ้างเขา บางคนไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของเขามาก่อน...

มีข่าวลือว่า...ครั้งหนึ่งมันเคยฆ่าพวกค้ามนุษย์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก เขาหันมาหารือกับเด็กสาวตัวน้อยที่ถูกลักพาตัวมา และรีดไถค่าจ้างจากเธอ ซึ่งได้เพียงเศษเหรียญ! เขาบ่นอย่างมีเหตุมีผล : ฉันไม่เคยทำงานที่ไม่ได้ค่าผลตอบแทน ไม่มีข้อยกเว้นอย่างเด็ดขาด...

นิสัยและพฤติกรรมการกระทำที่แสดงออกของเขา ทำให้หัวหน้าและเหล่าพี่น้องที่รู้จักถึงกับพูดไม่ออกเลย...

มันยังมีเรื่องเล่า...ครั้งหนึ่งเขาเก็บกระดาษชำระออกจากห้องน้ำทั้งหมด ก่อนที่หัวหน้าของเขาจะถ่ายหนัก หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วหัวหน้าของเขาก็ได้พบกับปัญหาที่แท้จริงว่าไม่มีกระดาษชำระและขอให้เขานำกระดาษทิชชู่เขาไปให้ เขาใช้โอกาสนี้ในการรีดไถเงิน $500,000 เป็นค่าแรงงานในการทำงานนี้ เจ้านายของเขา...ได้แต่ยอมให้

เหตุผลที่เจ้านายของเขายอมนั้น......

นั้นเป็นเพราะในวันนั้นเขาเรียกเหล่ารุ่นน้องผู้หญิงทุกคนมาที่ประตูห้องน้ำ และยังจะเชิญแม้แต่สาวงามทั้งหลายให้มาร่วมสนุกกัน

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าจุดอ่อนที่ใญ่ที่สุดของเขาคือ เขามีคนที่เขารักเยอะเกินไป ในฐานะที่เป็นนักฆ่า แต่ยังเป็นมือเปื้อนเลือดของฆาตกรชั้นนำมากที่สุด คำกฃ่าวนี้ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนอาเจียนออกมาได้!

แต่คำอ้างว่ามีความรักของผู้ชายคนนี้ ก็ยังเป็นจริงไม่น้อย!

เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด เขาไม่สามารถทนมองคนรวยส่วนใหญ่กดขี่คนจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าข้าราชการที่กดขี่ประชาชนพลเรือน เมื่อเขามาอยู่ในต่างประเทศ เขาก็ไม่สามารถทนเห็นใครก็ตามกดขี่คนชาติเดียวกับตัวเอง! เพราะนิสัย "รักชาติ" ของเขานี้เอง ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยต้องพบภัยพิบัติที่น่าแปลกใจตามมา

ถึงแม้เขาจะเป็นคนเช่นั้น แต่ก็ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่ยังคงวิ่งมาต่อแถวใช้บริการของเขาอยู่! เพราะอะไรนะหรือ? เพราะเขาเป็นนักแม่นปืนระดับพระกาฬ มีสายตาและศิลปะการต่อสู้ที่ไม่อาจคาดเดาได้! เขาปลูกฝังทั้งเทคนิคการต่อสู้ในเชิงหมัดมวยและเชิงดาบจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ! แต่เหตุผลหลักที่ดีที่สุดอยู่ที่อัตราการทำงานที่ประสบความสำเร็จทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์! แม้ว่าจะไม่จำเป้นต้องบันทึกลงในประวัติการทำงาน แต่มันก็ยังคงเป็นประวัติศาตสร์ที่ไม่มีใครลบได้อยู่ดี!

เขาคือสุดยอดนักฆ่าที่ดีที่สุดในหมู่นักฆ่า!

นอกจากนี้เขายังเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มนักฆ่าระดับสูงที่ยังไม่เคยมีบันทึกด่างพร้อยในประวัติ! 

อย่างไรก็ตาม นักฆ่ามือพระกาฬคนนี้ยังมีพื้นฐานเป็นเพียงวัยรุ่นใจร้อน!

งานสุดท้ายของเขาก็เป็นหนึ่งในงาน "อาสาสมัคร" เขาได้ยินข้อมูลมาว่าองค์กรลับของประเทศ M ได้เข้ามาสอดแนมในประเทศ Z และพวกมันแอบขุดสมบัติล้ำค่าจากเทือกเขาคุนหลุนอย่างลับๆ หลังจากนั้นพวกมันก็แอบลักลอบขนสมบัติกลับมาก่อนที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศ Z จะได้ข่าว ดังนั้นในฐานะเด็กหนุ่มเลือดร้อน จวินเซี๋ยจึ่งโกธรแทบระเบิด!

สมบัติของจีนจำนวนมหาศาล ในช่วงที่ยังอยู่ในความสงบเช่นนี้ จะมีใครที่สามารถยับยังไม่ให้สมบัติตกอยู่ในมือชาวต่างชาติประเทศM?!

จวินเซี๋ยบุกเดี่ยวเพียงลำพังไปสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้า เขาถูกครอบงำด้วยความภาคภูมิในความรักชาติเป้นอย่างมาก เผชิญหน้าต่อสู้กับตัวแทนหน่วยสืบราชการลับของประเทศ M เกือบหนึ่งร้อยคน ทั้งการลอบโจมตี วางกับดัก และใช้ทักษะการต่อสู้ของเขาสังหารเหล่าตัวแทนไปเจ็ดสิบคน ทำให้คู่ต่อสู้ที่เหลือเกิดความหวาดกลัว ท้ายที่สุดเขายื่นมือไปคว้าสมบัติลับไว้ ในขณะที่ความกล้าหาญของตัวแทนรัฐ M ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าเขาคิดจะเดินจากไป เขาก็สามารถเดินออกได้ไปอย่างง่ายดาย! และจวินเซี๋ยมีความมั่นใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน!

ทว่าในจังหวะที่มือของเขาสัมผัสกับสมบัติลับนั้น - เป็นเจดีย์ที่ถูกสร้างมาอย่างประณีตงดงามมากขนาดประมาณฝ่ามือ ก็มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่มือข้างที่จับเจดีย์ ทว่าในช่วงเวลาสำคัญนั้น ร่างกายของเขากลายเป็นอัมพาต ไม่อาจขยับหรือเคลื่อนย้ายร่างกายได้ ไม่แม้แต่จะสามารถกระพริบตาได้ 

ช่วงขณะที่เขาไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ เขาจึงยังไม่ได้สังเกตเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของเขากำลังถูกสูบเข้าไปในเจดีย์เก่าขนาดเล็กนั้น! เจดีย์ที่สร้างอย่างละเอียดอ่อนประณีต ที่สวยงามและน่ากลัวมากพอๆ กัน...

ในความทรงจำสุดท้ายของเขาคือ ระเบิดขนาดเล็กที่พุ่งตรงมาหาเขาจำนวนไม่น้อยกว่าห้าสิบชิ้นส่วน พร้อมกับลูกปืนที่ถูกกระหน่ำยิงมาจากปืนจำนวนมากกว่ายี่สิบกระบอก ในตอนที่เขายังคงมีทักษะและความแข็งแกร่งที่จะทำให้กำจัดคนเหล่านี้ได้ในการถลาโฉบโจมตีเพียงทีเดียว แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ที่ร่างกายของเขาจะไม่ยอมขยับย้ายอีกต่อไป!

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาแทบบ้าคลั้งได้จริงๆ!

ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวข้า 'จวินเซี๋ย' คนที่ไร้คู่แข่ง จะต้องมาตายด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยข้าก็ใช้ชีวิตไม่ขาดทุนละ! พวกข้าราชการทุจริต เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เด็จการ และพวกอันธพาลที่ชอบรังแกผู้อื่น ก็ล้วนตายด้วยน้ำมือของข้าอย่างน้อยก็มากกว่าพันคน! ชีวิตของข้ามันช่างคุ้มค่ายิ่งนัก! เพียงพอแล้ว!

คนทั่วหล้าแย้มยิ้มไปภพหน้า*** แต่ตัวข้าขอแย้มยิ้มลงนรกก็แล้วกัน!

ชาตินี้ ข้าใช้ชีวิตอย่างลือเลือง! ผ่านการเคี่ยวกรำที่ดี! มโนธรรมชัดเจน!

ถึงแม้ว่าข้าจะฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แต่พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นกากเดนที่สมควรฆ่า! แน่นอนว่าไม่มีใครไม่สมควรถูกฆ่า ข้าไม่เสียใจที่ได้ลงมือ! เหตุใดต้องกลัว? แม้ว่าการกระทำนี้จะลากข้าลงไปนรกแล้วอย่างไร?!

ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! กำจัดกากเดนโสโครก! กลาดล้างพวกชั่วร้ายทั้งหมด! แม้ว่าข้าจะโดนคนทั้งโลกประณามเป็นฆาตกร แล้วอย่างไร?!

ในโลกนี้ จะมีใครที่ไหนสามารถใช้ชีวิตเก๋ไกเช่นข้าได้? ช่างเป็นชีวิตครื้นเครงดุเดือดเลือดพล่าน!

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า..." เพียงแค่คิดถึงจุดนี้ จวินเซี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ



“นายน้อย ทะ....ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวดังมาจากทางด้านข้างเขา ดูเหมือนจะตกใจและหวาดกลัวการกระทำของเขา น้ำเสียงราวกับคนที่กำลังจะร้องไห้ จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยมากสัมผัสที่หน้าผากเขาซึ่งมันมาจากฝ่ามือเล็กๆ ที่ยื่นมาวางบนหน้าผากของเขา

นายน้อย? นี้ข้าไม่ได้ฝันอยู่หรอกรึ? แล้วก็ไม่ใช่ทางไปนรกด้วย? จิตวิญญาณของจวินเซี๋ยสับสนอย่างรุนแรง ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ทันใดนั้นภาพความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยก็ผลุดขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก ทั้งความทรงจำและข้อมูลมากมายกำลังไหลหลากเข้าสู่สมอง จวินเซี๋ยรู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่าใส่ร่าง! จนช็อค!

นี้ข้าอาศัยในร่างของผู้อื่นรึ? หรือไม่ข้าก็เกิดใหม่อีกครั้งแล้ว? แต่ทำไมข้ายังจำเรื่องราวในภพที่แล้วได้อย่างชัดเจน? หรือว่าข้าอาจจะไม่ได้ทานน้ำแกงยายเมิ่ง****? หรือว่าข้ายืมศพคืนวิญญาณ?

อย่างแรก คือ ย้ายมาอยู่ที่ร่างใหม่?

อย่างที่สอง คือ ตายแล้วเกิดใหม่?!

จวินเซี๋ยหรี่ตามองอย่างเคร่งเครียด ทั้งยังไม่เข้าใจข้อมูลที่อยู่ในหัวของเขา พยายามจะเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าจะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยมิได้ขยับกายไปไหนอยู่ช่วงครู่ใหญ่ 

ครั้นเมื่อมีมือเล็กมาโบกไปมาบริเวณใบหน้าของเขาอย่างหวาดกลัว  ทันใดนั้นจวินเซี๋ยก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง : "ไอ้ลูกหมา! ผลการตอบแทนการเป็นคนดีของข้า การกระทำที่ดีจริงๆจะเรียกผลตอบแทนที่ดี! ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตราบใดก็ตามที่ข้ายังไม่ตาย! ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ท่าทางหลายชาติหลายภพที่ผ่านมาตัวข้าผู้เฒ่าคงสะสมผลบุญไว้ไม่น้อย? วะฮะ ฮา ฮ่า"

เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องอย่างกระทันหันนี้ ทำให้เด็กสาวอายุราวๆ 10 ปีที่ยืนอยู่ข้างๆ หวาดกลัวตัวสั่นรีบวิ่งไปหลบที่หลังขอบประตู ดวงตาคู่สวยขนาดใหญ่เบิ่งกว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนก จ้องมองตรงไปด้านหน้าราวกับกำลังพบฝันร้าย "นายน้อย"  ร่างกายที่เล็กและบอบบางยังคงสั่นเทา ใบหน้านางซีดขาวราวกับไม่มีเลือดไปเลี้ยง ดูราวกับว่ามันเป็นเพียงนกกระทาตัวจ้อยที่กำลังกลัวว่าจะโดนสัตว์ร้ายเขมือบ

เสียงกรีดร้องดังก้องกึกขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้เสียงกรีดร้องกลับฟังดูน่าอนาถ แต่มันก็เป็นเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากปากของจวินเซี๋ยเอง เพียงเพราะเขาพบว่าเสียงของตนเองช่างมีโทนเสียงที่แหลมสูงคล้ายกับเสียงของหญิงสาว หรือว่า? สิ่งนั้นของข้าจะหายไป? อ่า! ไม่นะ!!! ทันทีที่ความคิดนั้นปรากฎออกมาปฏิกริยาแรกโดยไม่ทันคิดและลืมความจริงที่ว่ามีสาวน้อยน่ารักยืนอยู่ตรงหน้าของเขา จวินเซี๋ยคว้าเป้ากางเกงของเขา เพื่อตรวสอบน้องชายของเขาทันที

ท้ายที่สุดเขาก็คล่ำเจอ "สิ่งนั้น" ที่คุ้นเคย จวินเซี๋ยถอนหายใจยาว ด้วยความโล่งอก  อ่า! ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตายังข้า ข้ายังคงสามารถมีบุตรได้

แท้จริงแล้วข้าหวาดกลัวว่า ข้านึกว่าข้าอาจจะมาอยู่ร่างกายของสตรี... จวินเซี๋ยเช็ดเหงื่อเย็น

หลังจากพยายามสงบใจลง จวินเซี๋ยก็เริ่มที่จะตรวจสอบร่างกายของเขาใหม่

ทางเดินเลือดลม(*5) ภายในติดขัด กล้ามเนื้อร่างกายอ่อนแรง ข้อต่อไม่ยืดหยุ่น...

นี้มันร่างกายแบบไหนกันนี้? ร่างกายของเขาอ่อนแอ่เกินไป! แท้จริงเป็นแค่ไอ้เส็งเคร็งคนหนึ่ง! จวินเซี๋ยแอบกระซิบ แต่มันไม่สำคัญ ตราบใดที่ทางเดินเลือดลมยังไม่ถูกทำลาย ภายใน 3-7 ปีข้างหน้า ก้เพียงพอให้ข้าผู้เฒ่าจะสามารถกลับไปอยู่จุดสูงสุดของโลกได้อีกครั้ง!

หลังจากวางแผนในสมองเขาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จวินเซี๋ยได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างว่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเขาจะมาอยู่ในโลกใบใหม่อย่างสมบูรณ์!

ที่นี้ช่างแตกต่างจากโลกที่เขาคุ้นเคย! ไม่ว่าเขามองไปทางไหนไม่ได้ดูเหมือนก็ไม่คุ้น! ราวกับตอนนี้เขาอยู่เพียงลำพังบนโลกใบนี้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งต่างๆ ร่วมทั้งยังมีเรื่องมากมายที่เขายังไม่ทราบ! ข้อกำหนดของโลกนี้คืออะไร? โลกนี้เป็นอย่างไร?

หลังจากคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อีกครั้ง แม้จะเป็นจิตใจของนักฆ่าเลือดเย็นอย่างจวินเซี๋ย ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวังหดหู่

เมื่อสังเกตดูรอบๆ เครื่องเรือน เครื่องนอน และเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของเขาที่ไม่เหมือนกับชุดพิเศษที่ใส่อยู่ก่อนหน้านี้ ทั้งหมดล้วนดูราวกับอยู่ยุคโบราณ ความรู้สึกยินดีที่ยังไม่ตายของเขาค่อยๆ ลดลง กลายเป็นว่ารู้สึกสับสนและอารมณ์เสียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริงที่ว่า... ตัวข้าได้มีชีวิตอีกครั้ง...

สิ่งนี้คงจะเป็นที่น่าตื่นเต้นยินดีมากสำหรับเหล่าคนที่ได้รับโอกาสทุกคน แต่ในฉับพลันนั้นความรู้สึกของการสูญเสียอย่างนับไม่ถ้วนและความเจ็บปวดซึมซาบขึ้นมาจากภายในจิตใจของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งหวงแหนที่ไม่มีมาก่อน ทำให้เกิดจมูกของเขาจะรู้สึกแสบ ดวงตาของเขาคล่อไปด้วยน้ำตา หัวใจของเขาถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก; จวินเซี๋ยเบ้มุมปากลง เกือบตลอดชีวิตที่ผ่านมาดไม่เคยมีครั้งใดที่เขาต้องหลั่งน้ำตา แต่ในขณะนี้เขาเกือบจะร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา

นึกย้อนไปในอดีต คิดถึงบ้านเกิดและโลกเก่าของเขามันเป็นเรื่องยากที่จะจากมา! ข้าคิดว่าตัวข้าช่างเป็นคนที่ง่ายๆ และอิสระ  แต่เดิมข้าคิดว่าข้าสามารถจะปล่อยวางเรื่องทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย จงบจนช่วงเวลาสุดท้ายของข้าที่ทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นจริง ก็พบว่าแท้จริงแล้วข้ายังไม่สามารถปล่อยวางทุกอย่างไปได้ ข้าไม่อาจตัดใจได้ อา!

แต่เดิมข้าคิดว่าตัวเองปราศจากพันธะผูกพันใดๆ โลก แต่ตอนนี้ข้ากลับตระหนักว่าตัวข้าแท้จริงแล้วมีสิ่งผูกพันมากมายจนแทบจะไม่สามารถนับได้! ส่วนที่สำคัญมากที่สุดก็คือว่า ในดินแดนใหม่นี้ ข้าผมไม่สามารถค้นพบเศษเสี้ยวของความรู้สึกตนเองที่อยู่ที่นี้! ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ......

จิตวิญญาณของข้ายังคงแปลกแยกอยู่เสมอ....

จวินเซี๋ยยืนอยู่อย่างเงียบๆ หลับตาลงเบาๆ เขาอยู่อย่างเงียบๆ หัวของเขาค่อยๆ เอียงไปด้านข้าง เมื่อไม่มีใครดูอยู่ หยาดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไร้เสียง

นี้เป็นการหลั่งน้ำตาครั้งแรกของชายผู้มาจากทั้งสองโลก!

อย่าได้ดูถูกผู้ชายไม่ใช้คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆ แต่เพราะแท้จริงยังไม่ถึงเวลาที่เศร้าที่สุด!



เมื่อจ้องมองเข้าไปในกระจกทองเหลือง เขาเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังดูอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ ใบหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่ประกอบไปด้วยริมฝีปากบางเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวเฉียงขึ้นไปบนขมับ ขนตายาว ดวงตาโตเรียวหวานคมชัด จวินเซี๋ยหัวเราะอย่างขมขื่นและพึมพำออกมา : "ข้าคงต้องบอกว่า เจ้าเด็กนี้มีหน้าตาดีมาก ส่วนหนึ่งดูหล่อเหลาอยู่หรอก แต่ดันผิวหน้าขาวไปนิด เล็กไปหน่อย ดูเหมือนเด็กสาวเสียมากกว่า"

เมื่อระลึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขา รูปลักษณ์ของเขาช่างเหมาะสมกับการเป็นนักฆ่า ปรากฏตัวของเขาเป็นสิ่งที่น่าประทับใจในการฆ่าความแข็งแรง! แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะไม่ใช้พิมพ์นิยม ดวงตาของเขาตี่และเล็ก จมูกบางแต่ชี้และงุมลง ในขณะที่ ลักษณะโดยรวมของเขาดูเหมือนจะอยู่กลางๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานของเหล่าผู้ชาย! ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่ ลูกผู้ชายตัวจริงจะอยู่ในหมู่ชายหน้าหนาว ตัวเขาเองก็ยังมองคนเหล่านี้อย่างเหยียดหยาม ใครเหล่าจะคาดคิดว่าหลังจากชีวิตจบลง เขาจะต้องมาอาศัยอยู่ในร่างกายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน? ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าเด็กนี้ก็ค่อนข้างจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าหวานที่ค่อนข้างหล่อเหลามาก...

"เฮ้เพื่อนยาก เจ้าเป็นคนนำข้ามาที่นี้หรอ?" มือขวาของเขาลูบไปบนข้อมือซ้ายของเขาที่ปรากฎรอยสักรูปแบบเจดีย์ขนาดเล็กคล้ายกับรอยสักเบาๆ เป็นจังหวะ ใบหน้าของจวินเซี๋ยปรากฎร่องรอยของความภาคภูมิใจ แม้ว่าในขณะนี้ข้าจะเสียชีวิตแล้ว ทั้งยังยัายมาอยู่ร่างอื่น แต่อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ยังอยู่ในมือของคนจีนอย่างปลอดภัยแทนที่จะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของชาวต่างชาติ!

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นรอยสักอยู่บนหลังมือของตัวเอง แต่จวินเซี๋ยก็มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่านี้คือเจดีย์ในห้องสมบัตินั้น! เจดีย์ขนาดเล็กที่มีลวดลายวิจิตรงดงามที่เขาปกป้องด้วยชีวิตตนเอง เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงเชื่อแบบนี้ แต่หัวใจของเขาก็บอกเขาเช่นนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งจริงและลึกลับ

เมื่อมองที่เจดีย์แล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกของถึงความพอใจและการปลอบโยน อันเนื่องมาจากสิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่มาจากโลกก่อนนี้เช่นเดียวกับเขา ในใจของจวินเซี๋ยเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เขาก็ไม่ทราบว่าความรู้สึกนี้คืออะไร? แต่เขายังรักษาความสุขุมเยือกเย็นของจิตใจไว้ได้ และไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า

มันก็ยังคงบรรยากาศราวกับไม่แยแสสิ่งใด! เงียบเฉย!

ขณะที่เขากำลังลูบเบาๆ บนรอยสักรูปเจดีย์ขนาดเล็กๆ จู่ๆ มันก็ระเบิดแสงสีเหลืองและมีหมอกหนา ทำให้เกิดจวินเซี๋ยจะรู้สึกหวิวๆ สติกลับมาปลอดโปร่ง เขารู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งที่กำลังเข้ามาสู้สมองของเขา อีกทั้งลวดลายบนมือของเขาหายไป...

"แปลก!" เขาส่ายหัวด้วยความประหลาดใจ จวินเซี๋ยรู้สึกประหลาดใจจริงๆ  ของชิ้นนี้มันช่างมีแต่เรื่องแปลก ตอนแรกเริ่มก็เป็นเจดีย์ขนาดเล็ก ต่อมากลายเป็นรอยสักบนมือของเขา แล้วตอนนี้มันจะหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ หรือว่าสิ่งนี้แล้วแท้จริงคือของวิเศษในตำนาน?

"นายน้อย นายท่านผู้เฒ่าเรียกพบเจ้าค่ะ" ชั่วครู่ก่อนที่จวินเซี๋ยจะได้ตรวจสอบเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้สึกในใจของเขาก่อนหน้านี้ ก็มีเสียงดังขึ้นมาอย่างกระทันหัน

"เรียกพบข้าหรือ?" จวินเซี๋ยเลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวว่า "ทำไม?" ตาเฒ่านั้นมีคำสั่งให้ข้าไปพบกับเขา? เขาคิดว่าข้าเป็นหลานของเขารึ?! อ่า!! ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทันใดนั้นเขาก็รีบกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป คิดดูอีกทีดูเหมือนว่าตาเฒ่าคนนี้แท้จริงแล้วก็เป็นคุณปู่ของเขาหรืออย่างน้อยคุณปู่ของร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน...

"เรื่องนี้...บ่าวก็มิทราบเจ้าค่ะ" สาวน้อยมองมาที่เขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนที่จะก้มหัวของเธอลง ขนตายาวกระพริบอย่างตื่นตระหนกและหวาดกลัว เท้าทั้งสองที่วางอยู่ในตำแน่งเดิมก่อนที่ข้างหนึ่งจะค่อยๆ ยื่นไปด้านหลัง หลังจากนั้นร่างกายของเธอเอียงเล็กน้อยเธอดูราวกับว่าเธอก็พร้อมที่จะหันหลังออกไปอย่างเร็ว 


^^^^ครบแล้วค่ะ อ่านข้างล่างหน่อยนะ ถามเรื่องความคิดเห็นเพิ่มเติ่มค่ะ ตอนต่อไปประมารอาทิตย์หน้านะคะ พรุ่งนี้ถึงวันศุกรืเค้ายังไม่วว่างแต่จะพยายามแปลให้เร็วๆ นะคะ^^^^

TLT : ช่วงที่พระเอกบรรยายตัวเองไม่รู้จะแปลว่า ข้า/ ฉัน/ เรา ที่ไม่เลือกฉัน เพราะมันฟังไม่จีนอ่ะ ส่วนเราก็ดูไม่บ้าพอ เลยเลือกข้าเพราะพอแทนตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนพวกชอบอวดเบ่งไงไม่รู้
*TLT :  to go toe to toe เป็นสำนวนที่พูดถึงการต่อสู้กันตัวต่อตัว ซึ่งแปลว่า ไปหัวแม่เท้าชนกัน เปรียบเทียบกับนักมวยซึ่งยืนเท้าเกือบชนกันแล้ว slug it out คือซัดกันคนละหมัดสองหมัดคะ
**TL: จวินเซี๋ยของชื่อตอน “จอมโฉด จวินเซี๋ย” แท้จริงแล้วเขียนอ่านออกเสียงจากพินอินคือ “xié jūn jūn xié” ในภาษาจีน คำว่า邪 “Xié” ซึ่งหมายถึง ชั่ว, เลว, ชั่วช้า, ปีศาจ, อัปมงคล ในขณะที่ 君 “jūn” หมายถึง กษัตริย์, ราชา, พระเจ้าแผ่นดิน, คำที่ใช้เรียกยกย่องผู้ชาย]
[***TLT : ในต้นฉบับ 含笑九泉 ถ้าหาในคำแปลไทยคือ ตายตาหลับ/ไม่สามารถหยั่งรู้ในเหตุการณ์ได้/ไม่รู้ความสามารถแค่ไหน ดังนั้นเราจึงแปลประมาณว่าคนทั่วไปจะยิ้มเวลาไปเกิด แต่พระเอกยิ้มได้แม้กำลังนรกคะ วลีที่เขียนดูงงไปหน่อยเนอะ]
****TL: น้ำแกงยายเมิ่ง คือ น้ำแกงที่คุณต้องดื่มก่อนที่คุณจะไปเกิดใหม่ เพื่อที่คุณจะได้ลืมอดีตในชาติที่แล้ว
****TLT : พระเอกหลุดโลกไปแล้ว เรื่องน้ำแกงยายเมิ่งเป็นความเชื่อเก่าของคนจีน มีอีกชื่อคือ น้ำเบญจรส/น้ำแกงห้ารส
*****TLT : 经脉 แปลคือ ทางเดินของเลือดลมในร่างกายตามความเข้าใจของแพทย์จีน อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ คิดว่าจะเอาไรดี ระหว่างทางเดินเลือดกะเส้นลมปราณ 


วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559




              ฟางเฉินเล่อเดินนำเขามายังเรือนสมุนไพร และได้แจ้งให้ศิษย์ที่เป็นยามเฝ้าประตูทราบก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้เขายืนอยู่เพียงลำพัง 
              เนื่องจากทราบว่าโหย่วเสี่ยวม้อถูกพามาที่นี้โดยศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ที่เป็นยามจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก ไม่ทำให้เขารู้สึกอัดอีด เพียงแค่แนะนำหลายจุดสำคัญทั้งหลายและข้อห้ามต่างๆ ที่สำคัญให้ทราบก่อนจะปล่อยให้เขาเข้าไปด้านใน

              เรือนสมุนไพรระดับ1 มีขนาดใหญ่มากนั้น เป็นเพราะเป็นสมุนไพรที่เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่มีความต้องการ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า 
              เมื่อเข้ามาภายในเรือน โหย่วเสี่ยวม้อได้เห็นพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณที่โบกพริ้วไหวไปกับสายลม
              โดยสมุนไพรวิญญาณที่พบส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกหญ้า ที่เขาเคยอ่านในบันทึกคือหญ้าตี่ต้า ที่ลำต้นและใบจะมีสีเขียว ด้านบนดอกจะมีแต้มจุดสีม่วงขนาดเล็กประดับอยู่ สมุนไพรวิญญาณประเภทนี้มีประสิทธิภาพมากเหมาะสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก แต่โดยทั่วไปแล้วพวกตานซือส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้ปรุงโอสถวิญญาณไว้รักษาอาการบาดแผล 
              สำหรับผู้ฝีกตนแล้ว อาการบาดเจ็บภายนอกเป็นเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึ่งไม่นิยมปรุงโอสถวิญญาณเพียงเพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก
               อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ฝึกตนที่เป็นหญิง ไม่ได้คิดเช่นนั้น อย่างที่ทุกคนทราบรักสวยรักงามเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติของสตรีทุกคนอยู่แล้ว
              ด้านข้างของหญ้าตี่ต้าทั้งสองด้านมีต่งหลิงเช่าและดอกนิ๋งเฉิน ซึ่งเป็นสมุนไพรวิญญาณที่มักจะถูกนำมาปรุงโอสถวิญญาณระดับ 1 บ่อยที่สุด ดังนั้นจึ่งมีการปลูกเป็นจำนวนมาก

              โหย่วเสี่ยวม้อนั่งยองๆ ที่ด้านหน้าดอกนิ๋งเฉินพร้อมกับจ้องดูอย่างละเอียด เพราะไม่แน่ใจเขาอาจเห็นภาพลวงตาอยู่
              เขามักจะรู้สึกว่าดอกนิ๋งเฉินที่อยู่ด้านมือซ้ายของเขาค่อนข้างไม่มีจิตวิญญาณ ในขณะที่ดอกนิ๋งเฉินทางขวามือดูจะเบ่งบานอย่างงดงามมากแถมยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ลำต้นและใบของต้นด้านขวาดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยหมอกสีขาวเป็นชั้นบางๆ ซึ่งเขาก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
              กวาดตามองดอกนิ๋งเฉินที่อยู่รอบๆ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีสภาพสวยงามมากนัก 
              ที่สำคัญที่สุดคือ สมุนไพรชนิดอื่นที่อยู่รอบๆ ดอกนิ๋งเฉิน ก็ไม่มีหมอกสีขาวห่อหุ้มบริเวณลำต้นและผิวใบ โหย่วเสี่ยวม้อมองดูด้วยความสับสน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เพราะเขาไม่สามารถตรวจสอบสิ่งที่เขาเห็นได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เขาจึ่งย้ายไปยังบริเวณอื่นแทน

              โดยไม่คาดคิด เขาก็ค้นพบสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีลักษณะคล้ายกันอีก 5 ต้นในเรือนเพาะสมุนไพรต่งหลิงเช่า คงไม่มีข้อยกเว้นที่ว่าสมุนไพรที่มีหมอกสีขาวห่อหุ้มจะเติบโตเบ่งบานได้สดสวยและยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ดูมีชีวิตชีวามาก
              น่าเสียดายที่โหย่วเสี่ยวม้อไม่ได้มีความเข้าอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่ามันมีสามารถทำอะไรได้บ้าง
              แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่งมสักทีเดียว ดังนั้นเขาสามารถคาดเดาได้รางๆ ว่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นต้นที่มีคุณภาพดีที่สุด ต่อจากนั้นโหย่วเสี่ยวม้อก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปทันที

              แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้นัดพวกเขาให้ร่วมกลุ่มกันอีกครั้งภายหลังจากที่แยกกันได้หนึ่งชั่วยาม อย่างไรก็ตามโหย่วเสี่ยวม้อได้ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว เพราะเขามั่วแต่สนใจที่จะสังเกตและตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณ
              รอจนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาหันไปพบว่าศิษย์พี่ใหญ่จะยืนอยู่ข้างหลังเขาและยิ้มเล็กน้อย
              โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกประหลาดใจเพียงครู่ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าถึงตระหนักว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว จึ่งรีบกล่าวขอโทษ "ข้าขออภัยศิษย์พี่ใหญ่ ที่ขะ..ข้าลืมเรื่องเวลานัด"

              ฟางเฉินเล่อไม่ได้กล่าวตำหนิเขา เพียงแต่ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "หาได้ยากยิ่งนักที่จะได้พบศิษย์น้องรุ่นใหม่ที่จริงจังมากแบบนี้ ศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกยินดีมาก โชคดีที่ครั้งนี้เป็นเพียงบทเรียนพื้นฐาน มีเนื้อหาไม่มากนัก ข้ายินดีที่จะพูดให้เจ้าฟังอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งหน้าเจ้าควรไปให้ตรงเวลา" 

              โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาได้แต่กล่าวเพียง "ขอบคุณขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่" เท่านั้น

              พวกเขาเดินกลับมายังเรือนเพาะสมุนไพรวิญญาณ ฟางเฉินเล่อก็ทำการสอนบทเรียนให้เขาเพียงลำพังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ เขาได้สอนเรื่องพื้นฐานของสมุนไพรวิญญาณ ในครั้งนี้เขาจะสอนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันคือ พื้นฐานการเป็นตานซือ
              เหล่าผู้ฝึกยุทธ์และตานซือในแผ่นดินหลงเซียงเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปคือ 1 ใน 100  อย่างไรก็ตามจำนวนประชาชนของแผ่นดินหลงเซียง มีมากเป็นล้านล้านคน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนจำนวนของตานซือ แต่ปัญหาการขาดแคลนที่แท้จริงอยู่ที่จำนวนของตานซือระดับสูงนั้นมีน้อยยิ่งนัก 
              ตานซือระดับกลางไปจนถึงตานซือระดับสูงนั้นมีช่องว่างอยู่ เหล่าตานซือระดับกลางจำนวนมากที่ทั้งหลายไม่มีความสามารถก้าวข้ามไปผ่านไปได้
              ทั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดและสีของจิตวิญญาณที่มีมาตั้งแต่ต้นของเหล่าตานซือมาเกี่ยวข้องด้วย ระดับของจิตวิญญาณจะสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตของเหล่าตานซือได้ แต่จิตวิญญาณระดับสูงนั้นจะปรากฎเป็นจำนวนน้อย จึงหายากมาก ยกตัวอย่างเช่น โหย่วเสี่ยวม้อและเหล่าศิษย์ร่วมสำนักเทียนซินรุ่นเดียวกัน ที่พวกเขาทั้งหมดนับสิบคนมาจากถิ่นเดียวกัน แต่มีเพียงเจียงหลิวเท่านั้นที่มีจิตวิญญาณสีฟ้า 
              อย่างไรก็ตามผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ำไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่สามารถโผล่หัวขึ้นมาอยู่ในอันดับสูงได้ 
              ในทุกอย่างต่างก็มีข้อยกเว้นเป็นพิเศษภายในตัวเองเสมอ ก็คือเหล่าผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษหรือเหนือกว่าผู้อื่น ดังนั้นแม้แต่เหล่าตานซือระดับต่ำ ก็ยังมีสิ่งที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จอยู่ในตัว

              "ศิษย์พี่ใหญ่ เหล่าตานซือระดับต่ำสามารถปรุงได้เพียงโอสถวิญญาณระดับต่ำกว่าเท่านั้น แต่เหล่าตานซือระดับต่ำจำนวนมากก็สามารถปรุงโอสถวิญญาณในระดับเดียวกันได้ เฉพาะโอสถวิญญาณระดับสูงเท่านั้นที่หายากจึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีราคาแพง นี้จะสามารถเรียกได้อย่างไรว่าประสบความสำเร็จแล้ว?" โหย่วเสี่ยวม้อถามด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ

              ใบหน้าของฟางเฉินเล่อปรากฎรอยยิ้มถึงนัยน์ตาแล้ว ราวกับได้คาดไว้แล้วว่าเขาจะมีคำถามเช่นนี้ "ศิษย์น้องเล็กจำเป็นต้องทราบว่า ทำไมทุกๆ สิ่งล้วนแต่มีจุดเด่นจุดด้อยในตนเองทั้งนั้น" 

              โหย่วเสี่ยวม้อฟังแล้วก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดก็ประกายสว่างวาบในสมอง "หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่คุณภาพของโอสถวิญญาณงั้นหรือ?" 

              "ถูกต้องแล้ว เจ้าสามารถคิดได้เร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะฉลาดไม่น้อย" 

              ฟางเฉินเล่อพยักหน้าด้วยความพอใจ ที่เขาชื่นชมศิษย์น้องเล็กเพราะก่อนหน้านี้เขาได้ถามศิษย์รุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่นกัน แต่พวกเขาไม่สามารถตอบได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ 

              โหย่วเสี่ยวม้อก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความอาย ใบหูบางส่วนกลายเป็นสีแดง แม้เขาจะไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำชมเหล่านั้น
              หลังจากคิดได้สักพัก เขาไม่กล้าที่จะบอกกว่าตนเองมาจากยุคอนาคตเช่นนั้นแล้วเขาจึงเข้าใจถึงความสำคัญของปัญหานี้ เพราะในยุคนั้นสินค้าถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปัญหาเรื่องคุณภาพคือสิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงถึงเป็นหลัก บางคนก็กังวลว่าจะซื้อของปลอมจึงต้องดำเนินการตรวจสอบและศึกษาสินค้าชินนั้นอย่างละเอียด เช่นคนแบบเขาเอง!
              
              "คุณภาพของโอสถวิญญาณจะดีหรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับสภาพสมุนไพรวิญญาณ ถ้าเจ้าใช้สมุนไพรวิญญาณที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีในตอนปลูกแล้ว เมื่อนำไปปรุงเป็นโอสถวิญญาณแล้วคุณภาพของโอสถนั้นก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นการรซื้อขายโอสถวิญญาณจึงมีการแบ่งย่อยออกอีกสามระดับคือ โอสถวิญญาณระดับด้อย ระดับกลาง และระดับสุดยอด ซึ่งระดับสุดยอดเท่านั้นถึงจะถือว่ามีคุณภาพดีที่สุด"

              "เป็นเช่นนั้นนี้เอง" โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างปรากฎวาบขึ้นมาในจินตนาการของเขา แต่เมื่อเขาต้องการที่จะจับความรู้สึกนั้นมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว 
              สัญชาตญาณของโหย่วเสี่ยวม้อบอกกับตนเองว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมาก แต่เขาล้มเหลวก่อนที่จะคิดออก แล้วมันห็เลื่อนหายไปเสมอ จนเมื่อถึงเวลาสิ้นสุดบทเรียนของวันนี้ เมื่อเขากำลังจะเดินกลับไปที่ห้องของเขา ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา 'อ๊ะ'

              "หรือว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาเห็นในตอนเช้ากันนะ?"

__________________________________________
跌打草 Diē dǎ cǎo หญ้าตี่ต้า 

冬凌草 Dong Ling Cao ต่งหลิงเช่า
อ่านเพิ่มที่หน้าชื่อนะ

ขออภัยที่ล่าช้า เนื่องจากติดใจต้องชื่อสมุนไพร ต้องพยายามท่องว่า มันเป็นนิยาย แต่ก็ยังเลิกนิสัยขุดหาความหมายจริงๆของมันไม่ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เราคิดว่าคนเขียนน่าจะเอาของจริงมาใส่นะคะ

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559



01 ส่งเสี่ยวม้อมาให้หายคิดถึง

02

03 

04


05

06

07

ตอนนี้หนูเสี่ยวม้อ ไม่สนใจพระเอกเลย มุ่งแต่คัมภีร์ ฮ่าๆ น่ารักเนอะ

เจอกันอีกครั้งเมื่อทางจีนออกตอนที่ 3 นะคะ
(ไม่รู้เมื่อไร เพราะท่าทางกำลังยุ่งมั้ง)


Credit

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทนำ

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา หรือ โรคติดเชื้อมัยโคพลาสมา หรือโรคไมโคพลาสมา หรือ มัยโคพลาสมา (Mycoplasma infections) คือโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียในกลุ่ม Myco plasma ซึ่งจะติดต่อจากคนสู่คน โดยแบ่งโรคติดเชื้อชนิดนี้ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามตำ แหน่งของการเกิดโรค คือการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจ และการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ โรคทั้งสองกลุ่มนี้ มียาปฏิชีวนะสำ หรับรักษา แต่ไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกัน ผู้ที่เคยติดเชื้อเป็นโรคมาแล้ว มีโอกาสติดเชื้อและเป็นโรคซ้ำได้อีก

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมามีสาเหตุจากอะไร?

เชื้อในกลุ่มไมโคพลาสมา เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กที่สุดในแบคทีเรียกลุ่มที่สามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายคนและสัตว์ได้ และเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีผนังเซลล์เหมือนแบคทีเรียชนิดอื่นๆอีกหลายชนิด
การแยกเชื้อในกลุ่มนี้จากร่างกายของคน พบมีอยู่ 17 ชนิด (Species) แต่ส่วนใหญ่อา ศัยอยู่ในร่างกายของเราโดยไม่ทำให้เกิดโรค โดยมีอยู่เพียง 5 ชนิดที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ เชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ซึ่งทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งรวมทั้งปอดบวม และ อีก 4 ชนิด คือ เชื้อชนิด Mycoplasma genitalium, Mycoplasma hominis, Ureaplas ma urealyticum และ Ureaplasma parvum ทำให้เกิดโรคของ ระบบทางเดินปัสสาวะ และระ บบสืบพันธุ์ (ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี และระบบอวัยวะสืบพันธุ์ชาย)
การติดต่อของเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia เกิดจากการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วยที่ไอ จาม ออกมา เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ ส่วนเชื้อชนิดอื่นๆที่เหลือ การติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ส่วนใหญ่เกิดในช่วงอายุ 5-20 ปี เพศหญิงและเพศชายพบได้เท่าๆกัน พบได้ทั่วโลก เกิดขึ้นได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่พบมากในช่วงฤดูร้อนต่อฤดูหนาว การระบาดเป็นกลุ่มๆมักเกิดในที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นและใกล้ชิดกัน เช่น ในโรงเรียน ค่ายทหาร เป็นต้น ส่วนการระบาดเป็นบริเวณกว้าง (Epidemics) มักเกิดขึ้นเป็นรอบ ๆ ทุกๆ 2-3 ปี
สำหรับการติดเชื้อชนิดอื่นๆสามารถพบได้ทุกเชื้อชาติทั่วโลกเช่นกัน ชายและหญิงพบได้เหมือนๆกัน แต่จะเป็นโรคแตกต่างกันตามอวัยวะของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะระบบสืบ พันธุ์สตรี/ อวัยวะระบบสืบพันธุ์ชายที่แตกต่างกัน โดยโรคส่วนใหญ่จะพบในวัยเจริญพันธุ์ ไม่มีฤดูการระบาดที่จำเพาะ

เชื้อไมโคพลาสมาก่อโรคได้อย่างไร?

สำหรับเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว เชื้อจะอาศัยกลุ่มของโปรตีนที่มีอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ ไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบนหรือส่วนล่าง แล้วแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์แบคทีเรียจะผลิตสารก่ออนุมูลอิสระชนิด Hydrogen peroxide ออกมา ซึ่งทำให้เซลล์เยื่อบุตายได้ เมื่อเซลล์ตายเม็ดเลือดขาวก็จะเข้ามาเก็บกิน และปล่อยสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบและทำให้เกิดอาการตามมา นอกจากนี้มีการค้นพบว่าเชื้อชนิดนี้อาจมีการปล่อยสารพิษชนิด Exotoxin ชื่อว่า Com munity-acquired respiratory disease toxin (CARDS) ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสารพิษของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคไอกรน
ส่วนเชื้อชนิดอื่นๆ จะไปเกาะติดกับเยื่อบุท่อปัสสาวะหรือช่องคลอด และผลิตสารเคมีแอม โมเนียออกมา ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เซลล์เยื่อบุตายได้เช่นกัน
ในผู้ป่วยทั่วไปๆ เชื้อแบคทีเรียจะไม่ลุกลามลงไปลึกกว่าชั้นเยื่อบุผิวและไม่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด/กระแสโลหิต ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง หรือ มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย เช่น ใส่สายสวนปัสสาวะอยู่

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมามีอาการอย่างไร?

อาการของโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาแบ่งออกเป็น
  1. โรคทางระบบทางเดินหายใจ ระยะฟักตัวของโรคคือ ตั้งแต่รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งค่อนข้างยาวนานกว่าระยะฟักตัวของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากเชื้อชนิดอื่นๆ และมีประมาณ 20% ที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อและมีอาการนั้น ส่วนใหญ่จะมีอาการจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลม และปอด) คือ หลอดลมอักเสบ หรือ ปอดอักเสบ ปอดบวม และมีเพียงส่วนน้อยที่จะเกิดมีอา การของระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูก ลำคอ ท่อลม) เช่น คออักเสบ ซึ่งมักจะพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
  2. อาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างของเชื้อชนิดนี้ คือ มีไข้ โดยไข้มักจะไม่สูงเกิน 38.9 องศาเซลเซียส (Celsius) ปวดศีรษะ และไอ ซึ่งมักไม่มีเสมหะ หากมีเสมหะ ก็จะเป็นสีขาว ไม่ใช่เหลืองหรือเขียว โดยอาการจะค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นอยู่ค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับสาเหตุจากเชื้อชนิดอื่นๆ โดยอาจเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ ส่วนอา การอื่นๆที่อาจพบได้แต่เกิดขึ้นน้อย ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเหลว/ท้องเสีย การตรวจร่างกายโดยการฟังเสียงปอด มักไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากการติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรียทั่วๆไปที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ ในผู้ป่วยส่วนน้อย อาจมีอาการของระบบอื่นๆ นอกระบบทางเดินหายใจได้ เช่น
    • การเกิดผื่นแดงชนิดที่เรียกว่า Erythema multiforme คือ มีลักษณะเป็นปื้นนูนแดงที่มีรอยบุ๋มตรงกลางจากการตายของผิวหนัง มักพบในผู้ป่วยเพศชาย อายุน้อย โดยหากพบผื่นชนิดนี้ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ก็จะค่อนข้างจำเพาะว่าเกิดจากการติดเชื้อไมโคพลาสมา ส่วนผื่นชนิดอื่นๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่จำเพาะเหมือนผื่นชนิด Erythema multi forme เช่น ผื่นลมพิษ ผื่นชนิดตุ่มน้ำใส เป็นต้น
    • การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
    • การเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ
    • มีอาการปวดตามข้อ (Arthralgia) มีส่วนน้อยมากที่อาจเกิดข้ออักเสบ (Arthritis)
    • การเกิดเม็ดเลือดแดงแตกซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง (ภาวะซีด) และอาจมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
    อนึ่ง วิธีการก่อโรคของเชื้อที่ทำให้เกิดอาการในระบบอื่นๆนอกจากระบบทางเดินหายใจนั้นยังไม่ทราบชัดเจน
  3. อาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ มีไข้ เจ็บคอ คอ แดง ตาแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดหู มีเพียงส่วนน้อยที่อาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอโต ส่วนอาการที่ค่อนข้างจำเพาะต่อการติดเชื้อชนิดนี้ คือ อาการปวดหูจากเยื่อแก้วหูอักเสบ (Bullous myringitis) แต่พบได้น้อยมาก

  • โรคของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ ในคนปกติบางคนที่ไม่มีอา การ สามารถคัดแยกเพาะเชื้อที่ทำให้เกิดโรคในกลุ่มนี้จากช่องคลอดของผู้หญิงหรือท่อปัสสาวะทั้งหญิงและชายได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว จะมีโอกาสพบเชื้อเหล่านี้ได้มากขึ้น ในเด็กแรกคลอดเองก็สามารถตรวจพบเชื้อได้ โดยรับเชื้อมาจากมารดาขณะที่คลอดผ่านช่องคลอด แต่โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้ทารกเกิดโรคและเชื้อก็จะหายไปได้เองในที่สุด สำ หรับในผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อและมีอาการนั้น ได้แก่อาการเหล่านี้
    1. ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย ปวดเวลาปัสสาวะใกล้เสร็จ ปัสสาวะขุ่น อาจมีคราบหนองเปื้อนกางเกงใน
    2. ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) และท่อเก็บอสุจิอักเสบ (Epididymitis) อาการได้แก่ มีไข้ ปัสสาวะบ่อย ปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะลำบาก ไม่พุ่ง ปวดเอว ปวดท้องน้อย ปวดบริเวณอัณฑะ
    3. การอักเสบในอุ้งเชิงกรานในเพศหญิง (Pelvic inflammatory disease) อา การ คือ มีไข้ ปวดท้องน้อย ตกขาวมาก เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
    4. ปัญหาอื่นๆ เช่น การเกิดรกอักเสบในทารกที่อยู่ในครรภ์ และอาจเป็นสาเหตุของการเป็นหมันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

  • อนึ่ง เชื้อในกลุ่มที่ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์นี้ อาจเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆได้ เช่น ข้ออักเสบ กลุ่มอาการ Reiter’s syndrome (กลุ่มอาการที่เกิดการอักเสบกับหลายๆอวัยวะโดยมีการติดเชื้อเป็นตัวกระตุ้น แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุต่ออวัยวะนั้นๆโดยตรง เช่น มีการอักเสบของ ข้อ ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ อวัยวะสืบพันธุ์ และตาอัก เสบ เกิดขึ้นพร้อมๆกัน) เป็นต้น

    แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาได้อย่างไร?

    แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาได้โดย
    1. การวินิจฉัยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
      1. อาการของระบบหายใจส่วนต้นนั้น ยากที่จะวินิจฉัยว่าเกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา เนื่องจากอาการเหมือนกับการติดเชื้อชนิดอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการของระบบหายใจส่วนต้น แต่หากผู้ป่วยมีอาการปวดหูและตรวจพบตุ่มน้ำใสที่เยื่อแก้วหูก็เป็นอาการแสดงที่บ่งว่าผู้ป่วยอาจกำลังติดเชื้อไมโคพลาสมาอยู่ การพิสูจน์ยืนยันว่า ติดเชื้อไมโคพลาสมาโดยอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่สะดวกในทางปฏิบัติ และไม่มีความจำเป็น เนื่องจากโรคไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้
      2. อาการของระบบทางเดินทางหายใจส่วนล่าง อาการของหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ/ปอดบวมจากเชื้อไมโคพลาสมาจะคล้ายกับสาเหตุจากเชื้ออื่นๆ การจะระบุว่าเกิดจากเชื้อชนิดนี้ หรือเชื้อชนิดอื่นๆก็ตามแทบเป็นไปไม่ได้ หากผู้ป่วยมีอาการเป็นระยะเวลา นาน หรือมีอาการของระบบอื่นๆเกิดร่วมอยู่ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไมโคพลาส มา การตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นอาจช่วยในการบ่งชี้ว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อชนิดนี้ ได้แก่
        • การเจาะเลือดผู้ป่วยในหลอดทดลองที่มีสารกันเลือดแข็งตัวแล้วนำไปแช่เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เมื่อเอียงหลอดทดลอง จะเห็นเม็ดเลือดแดงตกตะกอนเกาะกันเป็นก้อน แต่เมื่ออุ่นเลือดที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เม็ดเลือดแดงก็จะเลิกเกาะตัวกัน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Cold agglutinin ซึ่งอาจพบในโรคติดเชื้อรวมไปถึงโรคอื่นๆได้ แต่หากผู้ป่วยมีอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างร่วมกับมีการตรวจพบปรากฏการณ์นี้ ก็บ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา
        • การเอกซเรย์ปอด พบเงาผิดปกติ ซึ่งมักจะไม่สัมพันธ์กับอาการของผู้ป่วย คือเงาที่ผิดปกติดูรุนแรง แต่อาการที่ปรากฏกลับไม่รุนแรง และมักพบเงาผิดปกติที่ปอดด้านล่าง
        • การตรวจเสมหะ ในผู้ป่วยที่มีเสมหะ เมื่อนำเสมหะไปตรวจย้อมสีดูเชื้อแบคทีเรีย (Gram stain) จะตรวจไม่เจอเชื้อ เนื่องจากเชื้อชนิดไมโคพลาสมาไม่มีผนังเซลล์ จึงไม่ติดสีใดๆ แต่หากเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆก็จะตรวจเห็นได้
          อนึ่ง สำหรับการตรวจที่จะพิสูจน์ยืนยันว่าผู้ป่วยติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
        • การเพาะเชื้อจากเสมหะ หรือสิ่งคัดหลั่งจากหลอดลมที่ดูดออกมา การเพาะเชื้อใช้เวลาค่อน ข้างนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ กว่าเชื้อจะขึ้นและพิสูจน์ได้ว่าเป็นเชื้อไมโคพลาสมา จึงไม่สะ ดวกในทางปฏิบัติและไม่ทันต่อการวินิจฉัย
        • การตรวจหาแอนติบอดี (Antibody/สารภูมิต้านทาน) ต่อเชื้อไมโคพลาสมา เพื่อให้มีความไวและความจำเพาะสูง ต้องเจาะเลือดตรวจ 2 ครั้ง ห่างกันนาน 2-4 สัปดาห์ จึงไม่สะดวกในทางปฏิบัติและไม่ทันต่อการวินิจฉัยเช่นกัน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคให้มีความไวในการตรวจพบเชื้อมากขึ้นในการตรวจเพียงครั้งเดียว
        • การตรวจหาองค์ประกอบทางโมเลกุลของเชื้อไมโคพลาสมา หรือสารก่อภูมิต้านทาน (Anti gen detection) โดยใช้เทคนิควิธีที่เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction) ซึ่งค่อนข้างแม่นยำและได้ผลรวดเร็ว แต่ราคาแพง
      3. การวินิจฉัยโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ อาการจากเชื้อชนิดนี้ไม่แตกต่างจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยติดเชื้อกลุ่มนี้เฉพาะจากอาการจึงไม่สามารถทำได้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการในเบื้องต้น ที่อาจบ่งชี้ว่าอาจจะเป็นเชื้อกลุ่มนี้ ได้แก่ การนำปัสสาวะหรือหนองที่เก็บได้จากท่อปัสสาวะในผู้ที่มีอาการของท่อปัสสาวะอักเสบ หรือต่อมลูกหมากอักเสบ ไปย้อมสีดูเชื้อแบคทีเรีย (Gram stain) ซึ่งถ้าเป็นเชื้อในกลุ่มนี้ก็จะตรวจหาไม่เจอ ส่วนการตรวจที่จะเป็นการพิสูจน์ยืนยันชนิดของเชื้อนั้นต้องอาศัยการเพาะเชื้อ ซึ่งเฉพาะเชื้อชนิด Mycoplasma hominis เท่านั้นที่เพาะขึ้นในอาหารเพาะเชื้อธรรมดาทั่วไป ส่วนเชื้อชนิด Mycoplasma genitalium และUreaplasmaspp. ต้องอาศัยอาหารเพาะเชื้อชนิดพิเศษ ซึ่งปกติไม่มีในห้องปฏิบัติการทั่วๆไป ส่วนการตรวจหาแอนติ เจน (Antigen/สารก่อภูมิต้านทาน)ใช้เทคนิควิธีที่เรียกว่า PCR ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
        สำหรับการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานของผู้หญิง มักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วม กัน จึงยากที่จะให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้อกลุ่มไมโคพลาสมาทั้งจากการย้อมสีดูเชื้อแบคทีเรีย หรือเพาะเชื้อ
        ดังนั้นโดยปกติ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบสืบพันธุ์แล้ว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะที่คลอบคลุมเชื้อหลายๆชนิดที่อาจเป็นสาเหตุ หากอาการไม่ดีขึ้น จึงจะอาศํยการตรวจพิเศษเพื่อหาชนิดของเชื้อต่อไป

    โรคติดเชื้อไมโคพลาสมารุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?

    ความรุนแรงและผลข้างเคียงจากโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
    1. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และสามารถหายเองได้ในที่สุดแม้ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ แม้โรคจะก่ออาการอยู่ค่อนข้างนาน ในผู้ ป่วยที่เป็นปอดอักเสบ ปอดบวม สมรรถภาพการทำงานของปอดก็จะกลับมาเป็นปกติดี การให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อจะช่วยทำให้อาการหายเร็วขึ้น โดยจะหายภายใน 7-10 วัน มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยที่อาการปอดอักเสบอาจรุนแรง และใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าสมรรถภาพการทำงานของปอดจะกลับมาปกติ ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เชื้ออาจลุกลามเข้าสู่กระ แสเลือดและทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) ได้
      ในผู้ป่วยที่มีอาการของระบบอื่นๆนอกระบบทางเดินหายใจ อาการต่างๆ จะกลับ มาหายเป็นปกติได้ในที่สุด เว้นแต่อาการทางระบบประสาทและสมองที่อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ในการกลับมาทำงานได้เป็นปกติ มีเพียงส่วนน้อยมากที่อาจเกิดการสูญเสียการทำงานถาวร
    2. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ การศึกษาและรายงานต่างๆในเรื่องความรุนแรงโรคที่เกิดจากเชื้อในกลุ่มนี้ยังมีน้อย อีกทั้งการติดเชื้อของระ บบนี้มักเกิดจากเชื้อหลายชนิดร่วมกัน จึงยากที่จะประเมิน แต่โดยรวมแล้วอาการมักไม่รุนแรง แต่อาจทำให้เกิดปัญหาสำคัญตามมา เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานอาจทำให้มีลูกยากได้ และสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและอาการรุนแรงได้

    รักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาอย่างไร?

    แนวทางในการรักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
    1. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ยืน ยันการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้อไมโคพลาสมาอยู่ แพทย์จึงทำการรักษาตามอาการของโรคติดเชื้อทางระบบหายใจทั่วๆไป ในภาพรวม คือ
      หากเป็นอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น จะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ให้ยาลดไข้/ยาแก้ปวด ยาลดน้ำมูกเป็นต้น แต่หากตรวจร่างกายพบ Bullous myringitis ซึ่งบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นจากเชื้อไมโครพลาสมา แพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ
      สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง/ปอด หากมีอาการไม่รุนแรง ก็จะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ให้ยาลดไข้/แก้ปวด แก้ไอ เป็นต้น แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายๆชนิดที่อาจเป็นสาเหตุ โดยพิจารณาตามอายุของผู้ป่วย โรคประจำตัว และการระบาดตามพื้นที่ เป็นต้น ซึ่งยาปฏิชีวนะที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมาด้วย หากผู้ป่วยมีอาการบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นการติดเชื้อไมโคพลาสมา เช่น มีอาการอยู่นานหลายวัน ตรวจร่างกายพบผื่นชนิด Erythema multiforme แพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับเชื้อ
      สำหรับผู้ป่วยที่อาการรุนแรง ก็จะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้ยาบรรเทาตามอา การ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดและแพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่คลอบคลุมเชื้อหลายๆชนิด ซึ่งก็จะครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมา โดยให้เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือด หากอา การและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นจากเชื้อไมโคพลาสมา แพทย์ก็จะให้ยาที่ตรงกับเชื้อมากขึ้น
    2. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เมื่อผู้ป่วยมีอาการอักเสบของอวัยวะในกลุ่มนี้ แพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดที่อาจเป็นสาเหตุ ซึ่งก็จะครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมาด้วย ส่วนการรักษาอื่นๆก็เป็นการรัก ษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น

    ป้องกันโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาได้อย่างไร?

    การป้องกันโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา ได้แก่
    1. การป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ใช้หลักการเดียวกันกับการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วๆไป เช่น พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น แออัด หรือใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก/หน้ากากอนามัยหากจำเป็น การล้างมือบ่อยๆ ล้างมือทุกครั้งก่อนปรุงอาหารหรือทานอาหาร การใช้ช้อนกลางทานอาหาร เป็นต้น
    2. การป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ คือ การไม่สำส่อนทางเพศ ส่วนการใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่สามารถช่วยป้องกันได้
    3. ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อนี้

    ควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

    การดูแลตนเองและการพบแพทย์ คือ
    1. ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ให้การดูแลตนเองเหมือนโรคติดเชื้อระ บบทางเดินหายใจทั่วๆ ไป เช่น ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีอาการไม่รุนแรงสามารถ ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การไปทำงาน การไปเรียนหนังสือ แต่ควรใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร ไม่ใช้ของส่วน ตัวร่วมกับผู้อื่น สำหรับเด็กเล็กๆที่ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดี ควรหยุดเรียน ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเดียว กัน ไม่จำเป็นต้องแยกห้องอยู่ แต่ควรแยกห้องนอน
    2. ผู้ที่มีอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจที่มีอาการรุนแรง เช่น ไอมากจนเหนื่อย อ่อนเพลียหรือมีอาการมานานมากกว่า 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์
    3. ผู้ที่มีอาการของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน ตกขาวมาก ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม

    ที่มา : haamor.com

    Comment

    เรื่องเล่าโพสเมื่อ

    ขับเคลื่อนโดย Blogger.

    Popular Posts

    Contact Us

    ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
    Mail : mbkrattanakorn@gmail.com