แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Legendary Master's Wife แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Legendary Master's Wife แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


เมื่อเขากลับมาถึงห้อง ดวงตะวันก็เคลื่อนย้ายคล้ายหลบอยู่หลังภูเขา

โหย่วเสี่ยวม้อเหลือบมองดูในห้องถัดไปที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องของชายหนุ่มที่มาหาเขาเมื่อเช้าหรือเจียงหลิว แต่ภายในห้องกลับเงียบสนิท ท่าทางเขาน่าจะเก็บของย้ายออกไปเรียบร้อยแล้ว

โชคดีแบบนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรซะร่างเดิมของโหย่วเสี่ยวม้อถูกระบุพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดอย่างชัดเจนแล้วว่ามีเพียงจิตวิญญาณสีเขียว แต่นั้นมันเป็นเรื่องก่อนที่เขาจะมาครอบครองร่างนี้แทน หลังจากที่มีการแปลงเปลี่ยนวิญญาณภายในดังนั้นจิตวิญญาณน่าจะเปลี่ยนสี

แต่โหย่วเสี่ยวม้อก็ไม่สนใจที่จะเข้ารับการทดสอบจิตวิญญาณอีกครั้ง ถ้าผลลัพธ์ของการทดสอบทั้งสองครั้งแตกต่างกัน ไม่กลายเป็นว่าเขาหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองหรอ อย่างไรซะเขายังไม่อยากตายอีกครั้งหลังจากเพิ่งจะกลับมามีชีวิตได้แค่สองสามวัน 

เพราะฉะนั้นถึงเขาจะอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนว่าระดับจิตวิญญาณที่แท้จริงของตนเอง เขาก็ยังไม่มีความคิดที่จะไปทดสอบอีกครั้งแน่นอน 

เมื่อเข้ามาภายในห้อง เขาวางคัมภีร์ทั้ง 4 เล่มลงบนโต๊ะ คัมภีร์เหล่านี้เขามองอย่างผิวเผินแล้วเลือกมาจากตึกตะวันออกแต่แท้จริงแล้วเนื้อหาภายในช่างลึกซึ่ง

บางทีถ้าเป็นคนอื่นอาจจะทำเข้าใจได้ง่าย แต่สำหรับคนนอกอย่างเขาที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับตานซือเลยแม่แต่น้อย สำหรับเขาการมาพยายามทำความเข้าใจในระยะเวลาอันสั้น มันช่างยากเย็นยิ่งนัก 

อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เขาก็ยังพยายามอ่านคัมภีร์ทั้ง 4 เล่มให้จบภายในวันนี้ เพราะว่าพวกเขาจะต้องไปหอรวมพลตานซือในวันพรุ่งนี้ ที่ซึ่งพวกเขาจะต้องตัดสินใจ ถ้าพวกเขาสามารถหาอาจารย์ที่ดีให้ได้เพื่อการเรียนรู้ของเขา ในการที่จะเป็นตานซือนั้น นอกจากความพยายามของตนเองเป็นที่หนึ่งแล้ว ยังต้องมีอาจารย์ที่ดีเยี่ยมก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน

โหย่วเสี่ยวม้อไม่รู้ว่าเขาถูกเลือกหรือไม่ แต่เขาคงไม่สามารถไปที่นั้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ใครจะไปรู้ถ้าวิธีการคัดเลือกคือ การคัดเลือกตามผลการทดสอบ หรือถ้าเขาให้ตอบคำถามสัก 3 ข้อแล้วข้าแสดงความโง่เง่า ข้าสามารถมองเห็นภาพในอนาคตได้เลยว่าจะต้องไม่มีใครอยากรับเขาเป็นศิษย์อย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นโหย่วเสี่ยวม้อจึงพยายามเพิ่มความรู้ของเขาแม้เพียงเล็กน้อย แต่อ่านคัมภีร์ทั้ง 4 เล่มภายในคืนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย 

หลังจากหายใจเข้าลึกๆ โหย่วเสี่ยวม้อก็ก้มหน้าห้มตาอ่านคัมภีร์ต่อโดยอาศัยเพียงแสงตะเกียงในยามเที่ยงคืน

ผลจากการกระทำนั้น ส่งผลให้ในวันถัดมาโหย่วเสี่ยวม้อมีขอบตาดำคล้ายแพนด้า แต่ความกังวลของเขาก็จางหายไปมากพอควร 

เช้าวันถัดมาก่อนเวลาเรียกรวมพล มีบางคนมาจากหอรวมพลตานซือเพื่อคอยนำทาง คนที่พวกเขาส่งมานั้นส่วนมากเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิปปี ท่าทางดูเป็นคนเฉยชา เขาให้เวลาพวกเราหนึ่งเค่อในการเตรียมตัว ไม่กล่าวสิ่งใดอีกตลอดเวลาที่รอ ราวกับว่าเขาไม่ได้มีความคิดที่จะสนใจจริงๆ 

โหย่วเสี่ยวม้อสังเกตุเห็นรอยยิ้มอย่างขมขืนจากคนอื่นๆ เพราะพวกเขาทั้งหมดถือว่าเป็น "ของเหลือ" 

ความจริงแล้วผู้ที่มีจิตวิญญาณขั้นสูง อย่างเช่น พวกจิตวิญญาณสีฟ้าหรือสีม่วงทั้งหมดต่างถูกเลือกไปก่อนหน้านี้นานแล้ว เหลือแต่พวกที่มีคุณสมบัติในระดับขั้นต่ำ ซึ่งโหย่วเสี่ยวม้อก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่เท่านั้นเขายังมีคุณสมบัติเลวร้ายที่สุดในบรรดาห้าคน ที่มีเพียงจิตวิญญาณสีเขียว 

แต่โหย่วเสี่ยวม้อไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าแต่อย่างใด อย่าลืมสิว่า โทมัส อัลวา เอดิสัน เคยกล่าวว่า 'คำว่าอัจฉริยะในความคิดของผมประกอบด้วย พรสรรค์เพียง 1% ส่วนอีก 99% มาจากความพยายาม'

ผ่านไปหนึ่งเค่อ พวกเขาก็มาถึงหอรวมพลตานซือ 

ความยิ่งใหญ่ของหอรวมพลตานซือไม่ได้ด้อยกว่าหอคัมภีร์เลยแม้แต่น้อย มันไม่มั่นใจว่าพวกเขามาถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายหรือไม่ ด้านในเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามคนพวกนั้นแต่งกายเหมือนพวกเขา ที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวและปักเพียงปิ่นที่ดูธรรมดาบนศีรษะของพวกเขา เป็นไปได้ว่ากลุ่มคนเหล่านนี้อาจจะเข้าสำนักเทียนซินมาในช่วงเวลาเดียวกัน 

โหย่วเสี่ยวม้อคิดว่าคนที่เป็นศิษย์ลับมีอยู่ไม่มาก ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเทียนซินจะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินหลงเซียงได้ ดูจากการให้ความสำคัญในการคัดเลือกคุณภาพของผู้ที่จะมาเป็นลูกศิษย์

เพราะเหล่าผู้อาวุโสยังคงมาไม่ถึง บรรดาเหล่าศิาย์ลับจึงเริ่มกังวนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน มันมีแต่หัวข้อเดิมๆ ถามซ้ำกันไปมา
'จิตวิญญาณของเจ้าสีอะไร'
'ข้าสงสัยว่าใครจะเป็นคนเลือกข้า'
'มันคงจะดีกว่า ถ้าข้าเป็นที่สะดุดตาผู้อาวุโส' ทั้งมันนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย 

โหย่วเสี่ยวม้อหาวออกมา หลังจากที่เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเลย เขาพบว่ายากเกินจะฝืนถ่างตาไว้ 

ขณะที่เขากำลังหามุมในการแอบงีบหลับ มีเสียงคมเข้มก็ดังขึ้นจนทำให้เขาตกใจสะดุ้ง

"ทุกคนเงียบ!!"


เพิ่มเติ่ม :
一 刻 yī kè 15 นาที
อ่านเพิ่มเติ่มที่ ช่วงเวลาของจีน

หอคัมภีร์ของสำนักเทียนซินยิ่งใหญ่และกว้างขวางราวกับห้วงมหาสมุทรที่รองรับแม่น้ำนับร้อยสาย เพียงชั้นแรกของตึกตะวันออกและตึกตะวันตกก็มีคัมภีร์ที่ถูกเก็บรวมไว้มากกว่าหมื่นเล่ม 
ทางเดินภายในหอคัมภีร์ไม่ต่างจากที่โหย่วเสี่ยวม้อได้คาดไว้ คัมภีร์นับหมื่นที่อยู่บนชั้นวาง ทุกเล่มประเภทถูกจัดแยกไว้ตามหมวดหมู่และมีป้ายบอกอย่างชัดเจน 

โหย่วเสี่ยวม้อได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักพลางส่ายหัวไปมา บางทีมันอาจจะเป็นเพราะมันไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลงเซียงมีมากแค่ไหน เขาเดินไปตามชั้นวางคัมภีร์ทั้งหลายที่ถูกแบ่งตามยุคสมัย แต่ก็ยังอยู่ในวงกว้าง บางช่วงอาจเป็นหมื่นปีที่แล้วหรือบางช่วงก็ประมาณห้าพันปีที่แล้ว....

โหย่วเสี่ยวม้อหาได้สนใจในอดีตอันยาวนานของแผ่นดินหลงเซียง สิ่งที่เขาต้องการทราบ สิ่งเขาไม่เข้าใจคือเรื่องแผ่นดินหลงเซียงในปัจจุบันนี้ ขณะที่เดินไปยังชั้นวางคัมภีร์ชั้นสุดท้าย ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อสังเกตุเห็นป้ายบอกด้านบน---"ภูมิศาสตร์แผ่นดินหลงเซียง!"

โหย่วเสี่ยวม้อยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อจะหยิบคัมภีร์ มือที่ยื่นออกไปของเขาก็สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง ที่ให้ความรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟซ็อตในกะทันหัน เขาหดมือกลับในทันทีและส่งเสียงร้องอย่างตกใจ 

เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นทำให้เขากลัวแทบตาย นี่มันเหนือธรรมชาติมากเกิน ภายหลังจากเขาสงบใจลง เขาก็จำได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในมิติหลงเซียง ดังนั้นเขาต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาด ถ้าเขาต้องการจะอยู่รอดที่นี้ให้ได้ คิดได้แล้ว โหย่วเสี่ยวม้อก็หยิบเอาสิ่งที่เหมือนตราประทับออกมาจากอกเสื้อ 

ก็อันที่ชายชราทีเฝ้าประตูหอคัมภีร์โยนใส่หัวเขานั้นแหละ

ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับตราประทับนั้นดี จึงลองยกขึ้นไปใกล้กับชั้นวางคัมภีร์ด้านหน้า ซึ่งดูเหมือนเขาจะคิดถูก จู่ๆ ตราประทับสีดำในมือก็ส่องแสงกระพริบออกมา พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบที่เหมือนจะขยับแยกออกทั้งสองด้านเพื่อเปิดทาง 

โหย่วเสี่ยวม้อค่อยลองยื่นมือออกไปแตะที่บริเวณเดิมอีกครั้งหลังจากที่ไม่รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าแล้วจึงเเชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จจริงๆ 

โดยเร็วโหย่วเสี่ยวม้อรีบหยิบคัมภีร์ลงมาจากชั้นวางโดยเร็ว และทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ อย่างกับเครื่องจักร เมื่ออยากได้คัมภีร์เล่มไหนก็นำตราประทับไปวางใกล้เพียงครู่เดียวเขาได้คัมภีร์หลายเล่มแล้ว ส่วนมากจะเป็นเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับแผ่นดินหลงเซียงที่เขาต้องการจะศึกษา

โหย่วเสี่ยวม้อเดินหามุมเล็กๆและนั่งลงเพื่ออ่านหนังสือและในขณะที่เขากำลังพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านบนศีรษะของเขา หย่วเสี่ยวม้อรีบเงยหน้าไปมองก็เห็นชายหนุ่มในเสื้อคลุมโบราณสีขาวกำลังนั่งคานหลังคา กำลังมองโหย่วเสี่ยวม้อที่มองมายังเขา เขายิ้มและกระโดดลงมาในขณะที่กำลังมองโหย่วเสี่ยวม้ออย่างพินิจระคนเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นทุกการกระทำของโหย่วเสี่ยวม้อจากด้านบน

เขาเดาะลิ้นอย่างล้อเลียน "จุ๊ๆ ไม่ทราบเจ้าบ้านนอกสกปรกนี้มาจากไหนกันน้า~"

ชายหนุ่มคนนั้นเดนรอบๆ ตัวเขา พูดคุยและแสดงอาการรังเกียจอย่างแรง โหย่วเสี่ยวม้อได้แต่กระพริบตาปริบๆ แต่ยังรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดช่างไร้เหตุผลจริงๆ ตัวเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ 

ใครก็สามารถคาดเดาการกระทำของชายหนุ่มได้เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเสี่ยวม้อ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้น

"นี้เจ้าบ้านนอก ถ้าเจ้ายังอยากอ่านคัมภีร์อยู่ละก็ จงออกไปจากแถวนี้ซะ มุมนี้เป็นทางขึ้นไปยังชั้น 2 อย่าบอกนะว่า เจ้าคิดว่าจะได้พบกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องหญิง ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ เจ้าควรจะรู้ตัวว่าเจ้ายังไม่คู่ควร"

โหย่วเสี่ยวม้อยังคงนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นปัดกัน จากนั้นก็เดินออกไปหาจุดอื่นอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นเขาทำตามอย่างดาย ชายหนุ่มจึงรู้สึกไร้ความน่าสนใจและถ่มน้ำลายออกมาก 

เห็นเขาเดินจากไปแล้ว โหย่วเสี่ยวม้อถอนหายใจอย่างโล่งอก ใครจะไปคิดว่าทางขึ้นชั้น 2 เขามาหอคัมภีร์เพื่อจะหาคัมภีร์ ไม่ใช่มาพบใครหรือต่อสู้เพื่อเป็นที่รักของใคร อีกอย่างเขาก็ไม่รู้จักศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องหญิง นับประสาอะไรที่จะต้องไปพยายามใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกนั้น

แต่เขาคาดไม่ถึงว่ามุมที่เขาเลือกอย่างสุ่มๆ แท้จริงคือทางผ่านที่จะขึ้นไปยังบริเวณชั้น 2  หอคัมภีร์นี้ช่างมีเอกลักษณ์แสดงถึง 'หัวใจของผู้สร้าง' จริงๆ ไม่เห็นแม้กระทั่งบันไดหรือร่องรอยทางขึ้น หลังจากบ่นอยู่สักครู่ ในที่สุดโหย่วเสียวม้อก็กลับมานั่งอ่านม้วนคัมภีร์ของเขาต่อ 

ในไม่ช้าเขาค้นพบว่าแผ่นดินหลงเซียงนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล หลายร้อยและหลายพันปียิ่งใหญ่มากกว่าโลกเดิมที่เขารู้จัก นอกจากนั้นมันยังเชื่อมต่อกันเป็นแผ่นดินเดียวกัน แต่มันดูเหมือนโลกในแบบดังเดิมที่มีภูเขาทอดตัวเนื่อง ป่าไม้ที่ไกลกว่าที่ตาจะสามารถมองเห็นได้

สิ่งสำคัญที่สุด มิตินี้ไม่มีร่องรอยของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแต่กลุ่มของผู้ฝึกตามสายงานต่างๆ และพลังงานวิเศษณ์ 

ตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้นั้น แผ่นดินหลงเซียงมิใช่เพียงแห่งเดียวในมิตินี้ ยกตัวอย่างเช่น ข้ามผ่านทะเลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด จะค้นพบโลกอื่นและมันว่างเปล่า พวกเขายังอ้างถึงอีกหลายที่ อย่างไรก็ตามในคัมภีร์กล่าวอย่างเพียงไม่กี่คำและจำกัด ทั้งยังไม่มีสาระสำคัญของพื้นที่เหล่านั้น ต่อจากกันก็มิได้มีคำอธิบายใดๆ อีก

หลังจาก 2 ชั่วยาม โหย่วเสี่ยวม้ออ่านคัมภีร์อีกไม่กี่เล่ม ก็เข้าใจเกี่ยวกับแผ่นดินหลงเซียงอย่างคราวๆ หลังจากที่จะนำคัมภีร์ไปเก็บที่ โหย่วเสี่ยวม้อบิดตัวยืดเส้นยืดสาย ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป เขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนมาจากด้านหลัง 

มองย้อนกลับมาเขาเห็นเงาร่าง 2 ร่างปรากฎออกมาจากอากาศจากบริเวณมุมที่เขาเลือกนั่งในตอนแรก เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องสาว ที่ชายหนุ่มคนนั้นได้บอกไว้ก่อนหน้านี้

ศิษย์พี่ใหญ่มีหนาตาหล่อเหลาราวกับถูกแกะสลักออกมา เมื่อมองให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ น่าไว้ใจ เด็ดเดี่ยวน่าเชื่อถือและความมั่นคงได้ในทันที บรรยากาศรอบๆตัวค่อนข้างเยือกเย็น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน โดยไม่มองซ้ายขวา ศีรษะหันตรงไปด้านทางออกหอคัมภีร์ 

ราวกับได้เห็นเทพธิดา ศิษย์น้องเล็กกระทืบเท้าของเธอเบาๆ และไล่ตามเขาไป ทั้งคู่ราวกับไม่ได้สังเกตุเห็นตัวตนของโหย่วเสี่ยวม้อเลยแม้แต่น้อย

หลังจากเดินออกมาจากหอคัมภีร์ โหย่วเสี่ยวม้อมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี รู้สึกว่ายังหัวค่ำอยู่ เขาจึงมุ่งหน้าไปยังตึกตะวันออก เพราะมีคัมภีร์จำนวนมากที่เขาต้องการจะอ่าน

โหย่วเสี่ยวม้อตัดสินใจที่จะทำการยืมคัมภีร์กลับไปอ่านต่อที่ห้องของเขาเป็นคัมภีร์เรื่องการปรุงโอสถทิพย์และสมุนไพรต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นพื้นฐาน  


เพิ่มเติม:
ราวกับห้วงมหาสมุทรที่รองรับแม่น้ำนับร้อยสาย - ประกอบไปด้วยของหลายสิ่งหลายอย่าง
'หัวใจของผู้สร้าง'  - ช่างมีความคิดสร้างสรรค์ / เจ้าความคิด / หลักแหลม / เฉลียวฉลาด


แปลช้า แปลผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้คะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


หอคัมภีร์เป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของฝ่ายยุทธและฝ่ายตานซือ ดังนั้นจึงมีขนาดใหญ่มาก 

หอคัมภีร์ถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่งคือ ตึกตะวันออกและตึกตะวันตก สิ่งของที่อยู่ในตึกตะวันออกทั้งหมดล้วนเป็นคัมภีร์การปรุงโอสถทิพย์และยาสมุนไพร ซึ่งรวมถึงบันทึกที่หาค่ามิได้ของเหล่าคนรุ่นก่อนหน้า

ตึกตะวันตกจะแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของแผ่นดินหลงเซียง มันยังมีคัมภีร์เทคนิกการฝึกควบคุมพลังและศิลปะการต่อสู้

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปชมด้านในได้ อย่างบุคคลเช่นโหย่วเสี่ยวม้อที่เป็นแค่ศิษย์ลับจะสามารถเข้าไปได้แค่ชั้น 1 ของตึกทั้งสอง เพราะยังขาดคุณสมบัติในการที่จะชั้นไปชั้นบน เว้นแต่เขาจะได้รับสิทธิ์พิเศษหรือได้เข้าเป็นลูกศิษย์สายตรง แต่สำหรับโหย่วเสี่ยวม้อตัวเลือกทั้งสองยังห่างไกลมากสำหรับเขา นอกจากนั้นตอนนี้เขายังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นชั้นต่อไป

โหย่วเสี่ยวม้อมีจุดมุ่งหมาย 2 อย่างในเดินทางมายังหอคัมภีร์

อย่างแรกคือ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลงเซียง เขาต้องการทราบเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างของโลกนี้

อย่างที่สองคือ เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบอีกครึ่งปี เขารู้สึกว่าเขาไม่มีความหวังเลยสำหรับทั้งฝ่ายคลังและฝ่ายยุทธ์ แต่เขายังคงหวังเล็กๆ สำหรับฝ่ายตานซือ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีข้อมูลของสิ่งที่เรียกว่าตานซือ ดังนั้นเขาจะต้องพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับมันก่อน

หลังจากเดินวกวนจนเกือบหลง แม้โหย่วเสี่ยวม้อจะพยายามถามทางไปหอคัมภีร์จากผู้คนรายทาง ก็ยังใช้เวลาในการหาเกือบชั่วโมง 

จากระยะไกล เขาเห็นตำหนักที่เลิศหรูสง่างาม แผ่นป้ายทองคำติดด้านบนของตำหนัก จารึกอักษรสามตัว 藏书阁 (หอคัมภีร์) ดูเหมือนจะธรรมดาและปราศจากการตกแต่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความหมาย ก่อให้เกิดกลิ่นอายที่สูงค่า

โหย่วเสี่ยวม้อกลืนน้ำลายอย่างประหม่า หอคัมภีร์ช่างดูสง่างามและโออ่ามากกว่าพระราชวังต้องห้าม

เมื่อเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่โหย่วเสี่ยวม้อสังเกตุเห็นคือ ผู้อาวุโสผมสีเงิน นั่งหลับตาอยู่ระหว่างตึกตะวันออกและตึกตะวันตก เพียงเขาเดินเขาใกล้ ชายชรากลับลืมตาในทันที ดวงตาที่ดูสดใสและแหลมคมดูขัดกับท่าทางที่แสดงออกตามอายุ ดวงตาคู่นี้เต็มไปด้วยริ้วรอยการผ่านประสบการณ์ มันคมราวกับใบมีด ที่พุ่งตรงมายังโหย่วเสี่ยวม้อ ร่างกายของเขากลัวเกินกว่าที่จะขยับไปไหน

ชายชรามองมายังมันครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเยือกเย็น "ส่งป้ายประจำตัวของเจ้ามา"

โหย่วเสี่ยวม้อชะงักไปชั่วครู่ แต่ในไม่ช้าก็ตระหนักได้ว่ามีป้ายประจำตัวของเขาอยู่ เขารีบนำออกมาและยื่นออกมาด้วยความระมัดระวัง 

หลังจากหยิบป้ายประจำตัว ชายชราดูเหมือนจะไม่ได้ทำสิ่งใด โหย่วเสี่ยวม้อเห็นเขาเพียงพลิกไปมาก่อนจะส่งกลับภายในสองวินาทีหลังจากนั้น จากนั้นก็กล่าวว่า "โหย่วเสี่ยวม้อ ศิษย์ลับ จำกัดการเข้าใช้งานได้เพียงชั้น 1 ของตึก" 

จากนั้นก็มีบางสิ่งบินตรงมายังเขา โหย่วเสี่ยวม้อกระโดดหลบ แต่ไม่สามารถหลบได้ในเวลาต่อมา *ป๊าป* แหวนกระแทกลงบนศีรษะของเขา ก่อนที่มันจะตกลงมายังพื้น โดยที่หัวเขาโน เขามองไปยังชายชราใบหน้ากระตุกเล็กน้อยจากท่าทางที่เข้มขึมของชายชรา

"ถือไว้ เจ้าจะสามารถหยิบคัมภีร์ภายในหอได้" หลังจากพูด ชายแก่ก็ไม่สนใจเขาอีก

โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกอายก่อนจะก้มลงหยิบของบนพื้น เขาไม่กล้ามองไปยังชายชราและรีบวิ่งไปยังตึกตะวันตก และคาดได้ว่าจะไม่กลับออกมาในอนาคตอันใกล้นี้


พยายามหารูปหอคัมภีร์ น่าจะประมาณนี้นะคะ


ด้านใน (คิดซะว่าไม่มีคนกระโดดนะ)
ที่มา new-dragon-tiger-gate
แปลช้า แปลผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้คะ




หลังจากออกจากห้อง ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อก็ทราบชื่อของชายหนุ่มที่มีจิตวิญญาณสีฟ้าเขาถูกเรียกว่า เจียงหลิว 

ในความเป็นจริงอาศัยอยู่ประตูถัดจากเขา ในการเริ่มต้นไม่ได้โดดเด่น แต่หลังการทดสอบเขาเป็นที่รู้จักเพราะจิตวิญญาณของเขาเป็นสีฟ้า

จิตวิญญาณสีฟ้าเป็นการพิสูจน์ว่าเขาเป็นว่าที่ตานซือระดับสูงที่มีพรสวรรค์อยู่ในระดับสูง นอกจากนั้น ตานซือระดับสูงยังหายากในแผ่นดินหลงเซียง ตานซือส่วนใหญ่ได้แต่ก้าวย่างอยู่ในระดับต่ำและกลาง แต่ถ้าสามารถก้าวข้ามถึงระดับสูงได้ อนาคตจะยิ่งสดใส ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสามารถปรุงโอสถทิพย์ได้ในระดับสูง จะได้รับความเคารพจากคนทั่วหล้า ดังนั้นตานซือระดับสูงจะเป็นที่ต้อนรับของสำนักใหญ่ๆ เสมอ

เมื่อสามวันก่อน ทุกคนที่ถูกพาเข้ามาในสำนักเทียนซินพร้อมกับโหย่วเสี่ยวม้อนั้นได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ลับ แต่หลังจากเจียงหลิวผ่านการทดสอบจิตวิญญาณสีฟ้า เขาได้รับการยอมรับเป็นศิษย์สายตรงของสำนักเทียนซิน โดยไม่ต้องทำการทดสอบหลังครึ่งปีอีกครั้ง

นอกจากนี้ ในระหว่างการทดสอบเมื่อวานนี้ ใครบางคนที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้อาวุโสถูกใจเจียงหลิวมาก วันนี้เขาจะต้องย้ายไปอยู่ลานฝึกชั้นใน ดังนั้นเขาจึงได้มากล่าวคำอำลากับพวกเขา นอกจากโหย่วเสี่ยวม้อทุกคนต่างมองเจียงหลิวด้วยความอิจฉา

"ดีจังเลยนะ เมื่อไรข้าจะสามารถเป็นศิษย์สายตรงเหมือนเจียงหลิวนะ?"

"ต้องพยายามฝึกหนัก แล้วพวกเราอาจจะสมหวังในอีกครึ่งปี"

"ถ้ามันง่ายอย่างที่พูดก็ดีสิ"

ในที่สุดโหย่วเสี่ยวม้อก็หลุดโพล่งออกมา "มันยากมากหรอ?" 

เขาไม่ต้องการออกจากสำนักเทียนซิน ในดินแดนที่แปลกประหลาดนี้ การอยู่กับสำนักเทียนซินดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

กลุ่มที่กำลังคุยกันจึงหันมาจ้องเขา และทำให้โหย่วเสี่ยวม้อเริ่มรู้สึกเขิน เขาจึงหันไปมองทางอื่นและกล่าวต่อโดยไม่มองหน้าเขา 

"สำนักเทียนซินมีกฎในการรับศิษย์ตานซือที่เข้มงวดมาก จากที่ข้ารู้มา ถ้าเจ้าต้องการเข้าสู่ลานฝึกชั้นใน เจ้าจะต้องปรุงโอสถทิพย์ระดับ 3 ให้ได้ภายในครึ่งปีนี้"

ทันใดนั้นเสียงสูดอากาศก็ดังออกมา ตามด้วยอ้าปากค้าง อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ตานซือขั้นต่ำอาจจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ระดับ 3 ได้ แต่นั้นก็ยังต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีของการฝึก และมันอาจไม่ประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ

อีกทั้งยังไม่มีการรับรองจากตานซือ ว่าเคยมีตานซือระดับต่ำจะสามารถปรุงโอสถทิพย์ระดับ 3 ได้ แม้แต่การปรุงโอสถทิพย์ระดับ 2 น่าจะเคยเห็นมากกว่า 

ทุกคนที่ได้ฟังคำพูดของเขา รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

แม้ว่าโหย่วเสี่ยวม้อจะไม่รู้เกี่ยวกับตานซือ แต่เมื่อมองดูท่าทางของทุกคน เขาก็ทราบได้ว่ามันน่าจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบากมาก ทันใดเขาก็เริ่มรู้สึกว่าอนาคตของเขาที่มืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ

"แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่มีหวัง" มองไปที่ท่าทางหดหู่ของทุกคนที่มีมากเกินไป เขาก็ปรับเปลี่ยนท่าทางให้ดูกระฉับกระเฉงและร่าเริง

"ความหวังอะไร? พูดเร็ว" ทุกคนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

ชายคนนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ "สำนักเทียนซินเป็นสำนักที่ใหญ่มาก มีลูกศิษย์ลูกหานับพันนับหมื่นคน อาจจะอยู่ในฝ่ายชาวยุทธ์ บางส่วนอยู่ในฝ่ายตานซือ ทุกๆ ปีมีค่าใช้จ่ายมากมาย ที่เจ้ารู้ทั้งหมดนั้น แม้ว่าตานซือสามารถหาเงินได้ แต่ในช่วงแรกก็ใช้เงินเยอะเช่นกัน ดังนั้นสำนักเทียนซินจึงมีฝ่ายคลังด้วย รับผิดชอบเฉพาะการหาเงินให้สำนักเทียนซินได้"

เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว โหย่วเสี่ยวม้อเงี่ยหูตั้งใจฟัง 

"ถ้าเจ้าสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อาวุโสฝ่ายคลัง เมื่อเวลานั้นมาถึง ถึงแม้ว่าเจ้าจะล้มเหลวในการเข้าสู่ลานฝึกชั้นใน เจ้าก็จะไม่ถูกไล่ออกจากสำนักเทียนซิน เพียงแต่ว่าเส้นทางการเป็นตานซือของเจ้าได้จบลงแล้ว"

หลังจากคำพูดของเขา ทุกคนก็ตกอยู่ในห่วงความคิด 

หลังจากที่ได้ยินสิ้งนี้ โหย่วเสี่ยวม้อก็เข้าใจฝ่ายการคลังว่ามันคือการทำธุรกิจ แต่นี้หมายความว่าจะต้องมีความคิดและใจรักทางด้านธุรกิจ 

นอกจากนี้ ฟังจากที่เขาพูด มันดูเหมือนจะไม่เรียบง่ายอย่างนั้นทั้งหมด มีอะไรบ้างอย่างแอบซ่อนอยู่ 

โหย่วเสี่ยวม้อเองก็ไม่ทราบ แต่เขาไม่ตั้งใจจะยอมแพ้ หลังจากแยกย้ายกันไปพักผ่อน 

โหย่วเสี่ยวม้อตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปหอคัมภีร์ เพื่อที่จะศึกษาเรื่องต่างๆ ในดินแดนนี้


แปลช้า แปลผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้คะ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


โหย่วเสี่ยวม้อยืนที่หน้ากระจก กระพริบตาขณะที่ดูคนแปลกหน้าในกระจก หลังจากที่คิดจนเซลล์สมองเกือบไหม้ ในที่สุดเขาจะยอมเชื่อความจริงที่ว่าในปัจจุบันวิญญาณของเขาอาศัยอยู่ในร่างของคนแปลกหน้า 

ร่างในกระจกอายุประมาณ 17-18 ปี ซึ่งใกล้เคียงกับอายุจริงของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวแบบจีนโบราณสีฟ้า บนศีรษะปักปิ่นปักผมสีควอมารีบนผมสีดำสนิท ทั้งหมดทำให้เขาดูต่างจากคนทั่วไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะซีดจางไปหน่อย โดยเฉพาะริมฝีปากของเขาที่ซีดจางไร้สีสันโดยสิ้นเชิง ดวงตาคู่งามราวกับถูกกระแทกอย่างแรงดูแดงจัดและบวมเช่นวอลนัท โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกไร้เรี่ยวแรงในทันที และไม่ชินกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาจริงๆ

หลังจากยืนเศร้าสะเทือนใจอยู่สักครู่ โหย่วเสี่ยวม้อเงยหน้้าสำรวจห้องเล็กๆ ของเขาอย่างเงียบๆ ห้องเขาช่างเรียบง่าย มีเตียงไม้ ชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ และชั้นวางกระจกที่ทำจากไม้ ไม่มีร่องรอยสิ่งของที่ไม่จำเป็น ถึงแม้จะดูเรียบง่าย มันให้ความรู้สึกบ้านนอก มีรูปแบบของสมัยโบราณ สืบเนื่องกับเสื้อผ้าบนร่างของเขา ร่วมกับลักษณะของเขาดูต่างกับคนทั่วไป โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกเศร้ากับการค้นพบนี้ เขาได้ถูกจับย้อนเวลามาในอดีต แต่เขาเป็นคนในยุคปัจจุบันนะ! เขาจำได้อย่างชัดเจนเกิดแก๊สรั่วจากเพื่อนบ้านเป็นเหตุให้เกิดการระเบิด เขาและเพื่อนบ้านติดร่างแหโดนระเบิดไปด้วย และเขาต้องมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่ แม้ว่ามันจะฟังดูแปลก แต่เป็นความจริงแน่นอน หลังจากต่อสู้กับตัวเองเล็กน้อย โหย่วเสี่ยวม้อก็ตัดสินใจปล่อยมันไป

หลังจากเขาสวมรองเท้า เมื่อเขาตั้งใจที่จะเปิดประตูออกไปสำรวจสถานการณ์ด้านนอก ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างเร็วจากด้านนอก ทำให้เขาตกใจจนสะดุ้ง ผู้ที่เข้ามาหลบอย่างเร็ว พลาดการชนกับโหย่วเสี่ยวม้ออย่างหวุดหวิด ทั้งอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจในเวลาเดียวกัน

"โหย่วเสี่ยวม้อ, ในที่สุดเจ้าก็ยอมลุกออกจากเตียง?"

โหย่วเสี่ยวม้อมั่นใจว่ามีเพียงตัวเขาที่รู้ว่าชื่อของเขา ดังนั้นชื่อที่คนๆนี้เรียกต้องเป็นชื่อของร่างที่เขาอาศัยอยู่แต่เดิม ดูเหมือนว่าสวรรค์ยังคงเมตตาเขา จึ่งให้ร่างที่มีชื่อเดียวกับเขา

โหย่วเสี่ยวม้อตรวจสอบผู้มาใหม่ เป็นชายหนุ่มอายุพอๆ กับเขามีรอยยิ้มสดใสเจิ้ดจ้า แต่เมื้อกี้เขาพูดอะไรนะ "ในที่สุดเจ้าก็ยอมลุกออกจากเตียง?" หมายความว่าไง อย่าบอกเขานะว่าเจ้าของร่างคนเก่ามีนิสัยนอนติดเตียงและขีเกียจ? โดยไม่รอให้เขาถาม ชายหนุ่มคนนั้นก็เริ่่มพูด

"โหย่วเสี่ยวม้อ เจ้าจะต้องไม่สูญเสียความหวัง ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของเจ้าจะเป็นสีเขียว แต่อย่างน้อยเจ้ามีโอกาสที่จะกลายเป็นตานซือระดับกลางได้ เจ้าต้องรู้ว่าตานซือระดับกลางยังคงหายากมาก มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นได้ บางคนใช้ความพยายามชั่วชีวิตก็ยังคงมีตานซือในระดับต่ำ ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรมั่วแต่จะเศร้า เช้าวันพรุ่งนี้เจ้าจะต้องไปที่ห้องโถงประชุมตานซือ เจ้าต้องร่าเริงเข้าไว้"

โหย่วเสี่ยวป้อรู้สึกสับสน อะไรคือจิตวิญญาณสีเขียว อะไรคือตานซือระดับกลาง? ทำไมเขาไม่เข้าใจ? แต่ในที่สุดเขาเริ่มที่จะเข้าใจเพียงเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะร่างนี้มีจิตวิญญาณสีเขียว ทำให้เขารู้สึกตัวเองต่ำต้อย ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในห้องด้วยความผิดหวังและแอบร้องไห้ ในที่สุดก็เขาก็ตายด้วยความเศร้าโศกมากเกิน? โหย่วเสี่ยวม้อยอมเอาถุงคลุมหัว สำหรับการตายที่น่าอับอายแบบนี้!

"แล้วเจ้าละ?" โหย่วเสี่ยวม้อถามกลับอย่างระมัดระวัง

ในตอนนี้ เขารู้จักแค่ชายหนุ่มคนนี้คนเดียว เขาสามารถพยายามที่จะดึงข้อมูลในมิตินี้จากเขาเท่านั้น แต่เขากลัวว่าชายหนุ่มจะพบว่าเขาไม่ได้เป็นจริงโหย่วเสี่ยวม้อ ดังนั้นเขาถึงไม่สามารถถามโดยตรงได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ทราบว่าพวกเขาเพิ่งรู้จักกันไม่นาน นอกจากนี้หลังจากที่พบว่าจิตวิญญาณของเขาด้อยกว่าที่คิด เขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ปฏิเสธที่จะออกมาข้างนอก ดังนั้นมันจึงเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ มากมาย

ชายหนุ่มยิ้มกว้างทันที ไม่สามารถที่จะเก็บความสุขของเขาและพูดอย่างอายๆ ขณะที่เกาหัวของเขา "จิตวิญญาณของข้าสีน้ำเงิน"

มองดูก็รู้ว่ามันเป็นสิ่่งที่ชัดเจนว่าจิตวิญญาณสีฟ้าจะต้องดีมาก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจมันอ่ะ!

"นี่ ข้ายังไม่เข้าใจจริงๆ ในช่วงไม่กี่วันนี้สมองข้าสับสน ลืมหลายสิ่งหลายอย่าง เจ้าสามารถบอกรายละเอียดมากกว่านี้ได้ไหม?"

โหย่วเสี่ยวม้อถามอย่างอายๆ กลัวสายตาที่มองมาที่เขา กลัวว่าเขาจจะดูน่าสงสัย

ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่สงสัย ดูซื่ออย่างสมบูรณ์ เอ่ยปากเล่าทุกสิ่งที่เขารู้ทั้งหมด รวมทั้งสถานนี้ที่เขาอยู่ขณะนี้ เขาก็เล่าออกมาทุกอย่าง

หลังจากที่ได้ฟังทั้งหมด โหย่วเสี่ยวม้อรู้สึกพูดไม่ออก ตกตะลึงในความคิดของเขา ขนาดชายหนุ่มเดินออกจากห้องเขายังไม่รู้สึกตัว

โลกนี้ช่างแตกต่างกับโลกที่เขารู้จักอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาอยู่ในสำนักเทียนซินซึ่งเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินหลงเซียง แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงลูกศิษย์ลับ นอกจากนี้ สำนักเทียนซินยังแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายชาวยุทธ์คือผู้ฝีกวรยุทธ์ จิตวิญญาณของพวกเขาเหล่านี้จะไม่มีสี แต่พวกเขาสามารถฝึกการควบคุมพลังงานและศิลปะการต่อสู้เทคนิคต่างๆ และอีกฝ่ายคือตานซือ จิตวิญญาณของพวกตานซือจะมีสี สีนี้ยังแบ่งออกเป็นสามอันดับ แบ่งเกรดเป็น สาม,หก, เก้า ตามลำดับจากระดับต่ำ สีชมพู, สีเหลือง, สีเขียว, สีเขียวนกเป็ดน้ำ, สีฟ้าและสีม่วง 
จิตวิญญาณสีชมพูและเหลืองจะเป็นตานซือระดับต่ำ 
จิตวิญญาณสีเขียวสว่างถึงสีเขียวนกเป็ดน้ำจะเป็นตานซือระดับกลาง 
จิตวิญญาณสีฟ้าและสีม่วงจะเป็นตานซือระดับสูง อย่างไงก็ตามแม้จะเป็นตานซือระดับเดียวกัน ก็ยังมีพรสวรรค์ความต่างกันอยู่ เช่นถ้ามีจิตวิญญาณสีม่วง จะมีพรสวรรค์มากกว่าจิตวิญญาณสีฟ้า ดังนั้นมันจึงมีโอกาสเป็นตานซือขั้นสูงสุด

จิตวิญญาณสีฟ้า หมายถึงในอนาคตจะเป็นตานซือระดับสูง ไม่น่าแปลกใจชายหนุ่มคนดังกล่าวดูสดใสร่าเริงขนาดนั้น

ในฐานะที่เขาอาศัยอยู่ในร่างนี้ เขาเป็นศิษย์ลับของการฝ่ายตานซือ ที่พามาโดยผู้อาวุโสของสำนักเทียนซิน แต่เดิมร่างนี้เป็นคนหยิ่งเล็กน้อย แต่หลังจากการทดสอบ เขาพบว่าพรสวรรค์ของเขาต่ำกว่าทุกคนอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้นเขาจึงขังตัวเองและร้องไห้อยู่ในห้อง

เด็กคนนี้ช่างมีจิตวิทยาที่เลวร้ายจริงๆ

นอกจากนี้เขายังได้เรียนรู้ข้อมูลที่สำคัญมาก เพราะเขาเป็นศิษย์ลับนั้นจะต้องผ่านการทดสอบอีกครั้งในครึ่งปีต่อมา มิฉะนั้นจะถูกขับออกจากสำนักเทียนซิน

สำนักเทียนซินเป็นสำนักใหญ่ที่สุดในแผ่นดินหลงเซียง ดังนั้นจึ่งมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากสำหรับลูกศิษย์ของพวกเขา โดยเฉพาะเหล่าตานซือ ถ้าพวกเขาไม่สามารถปรุงโอสถตามที่กำหนดได้ภายในครึ่งปีหลัง เขาจะโดนโยนออกจากสำนักแน่นอน

เมื่อมองดูทางไหนก็ไม่พบคนคุ้นเคย สำหรับโหย่วเสี่ยวม้อที่สมองยังไม่ทราบเรื่องราวใดๆ และไม่ทราบเส้นทางในโลกใหม่นี้ ข่าวนี้ช่างเหมือนกับโดนฟ้าผ่าในวันที่อากาศแจ่มใส


แปลช้า แปลผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้คะ

แนะนำตัวละครค่ะ ถ้าหารูปได้จะนำมาเผยแพร่ต่อนะคะ

游小默 <Yóu xiǎo mò>  You XiaoMo โหย่ว เสี่ยวม้อ


江流 <Jiāng liú> Jiang Liu เจียงหลิว


เตาปรุงยาของจีน (ไม่ใช่แบบพ่อมดนะ)
ภาพจากเกม Demons & Immortals


ชื่อบุคคล
游小默 <Yóu xiǎo mò>  You XiaoMo โหย่วเสี่ยวม้อ
江流 <Jiāng liú> Jiang Liu เจียงหลิว
凌霄 Líng xiāo  Ling Xiao  หลิงเซี่ยว
孔文 Kǒng wén Kong Wen โคว่เหวิน
方宸乐 Fāng chén lè Fang ChenLe ฟางเฉินเล่อ

ชื่อสถานที่
龙翔 lóng xiáng  Long Xiang  หลงเซียง
丹师 dān shī dan shi   ตานซือ ถ้าจะแปลจริงก็น่าจะเป็นเภสัชศาสตร์นะ เพราะลักษณะคล้ายกัน แค่ในชีวิตจริง มันไม่มีจิตวิญญาณเป็นสีๆ แต่ขึ้นกับความตั้งใจและพยายามในการศึกษามากกว่า
天心 Tiānxīn Tianxin   สำนักเทียนซิน
天峰 tiān fēng ตำหนักเทียนเฟิง
飞峰 fēi fēng ตำหนักเฟยเฟิง
都峰 dōu fēng ตำหนักเตาเฟิง


ชื่อสมุนไพร คาดว่าผู้แต่งเอามาจากที่นิยาใช้ในเกม และมีอยู่จริงมั่ง ถ้าข้อมูลตรงไหนไม่ถูกบอกได้นะ
宁神花 níng shén huā. ดอกนิ๋งเฉิน (peaceful spirit flower). 
跌打草 Diē dǎ cǎo หญ้าตี่ต้า (contusion herb) อ่านเพิ่ม

冬凌草 dōng líng cǎo Dong Ling Cao ต่งหลิงเช่า (winter ice herb) เนื่องจากไม่มีชื่อเรียกภาษาไทยเลยขอตั้งเองนะ อ่านเพิ่ม


Comment

เรื่องเล่าโพสเมื่อ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Popular Posts

Contact Us

ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
Mail : mbkrattanakorn@gmail.com