แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 06 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 06 แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


เสียงคำรามที่ดังทั่วหอรวมพล ทำให้เสียงพูดคุยทั้งหมดเงิยบลงในทันที

โหย่วเสี่ยวม้อเฝ้ามองและค้นพบต้นต่อของเสียงคำรามที่ดังมาจากชายหนุ่มที่เป็นหนึ่งในกลุ่มคนนำทางมาที่นี้ เขาคือคนที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนเฉยชาจะมีพลังเสียงมากขนาดนี้ แม้จะเป็นคำสั้นๆ และกระชับได้ใจความมาก

สาเหตุของคำพูดนี้ มาจากกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามา 

ผู้นำกลุ่มให้ความรู้สึกทรงภูมิ แม้แต้จะมีอายุขั้นต่ำที่ 30 กว่าปีก็ตาม แน่ละนี้เป็นเพียงการประเมินจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่แท้จริงบางคนในกลุ่มพวกเขาอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดอายุหลายพันปี

หลังจากอ่านคัมภีร์ไปหลายเล่ม โหย่วเสี่ยวม้อก็ได้เรียนรู้ว่าเหล่าผู้คนในมิตินี้ โดยเฉพาะเหล่าผู้ฝึกตน ดูเหมือนจะมีอายุยืนยาวเป็นพิเศษ 

ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็มีกลุ่มคนเดินออกไปต้อนรับที่ด้านหน้า

การคัดเลือกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า ผู้อาวุโสทั้งสามท่านทำการเลือกเหมือนการเลือกผักในตลาด ที่อันไหนดีอันไหนสวยก็เลือกเอา เหลือเอาไว้แต่ที่ไม่ดีดูไม่สวย น่าเสียดายที่โหย่วเสี่ยวม้อเองก็เป็นหนึ่งในเหล่าผักที่ถูกทิ้ง 

อย่างไรก็ดี เขาก็ยอมว่าเขาโชคดีที่ตอนนี้เขามีระดับพรสวรรค์สูงสุดในกลุ่มของเหลือ กับจิตวิญญาณสีเขียว ที่เหลือเลวร้ายกว่าเขาเพราะมีจิตวิญญาณสีชมพูและเหลือง ซึ่งเป็นขั้นต่ำสุดและทั้งชีวิตสามารถเป็นได้แค่ตานซือระดับต่ำเท่านั้น

"เจ้า อีกครึ่งปีที่เหลือเจ้าจงติดตามข้า"

เสียงที่อยู่ๆ ก็ดังมาจากด้านบนศีรษะของโหย่วเสี่ยวม้อ เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นชายวัยกลางคน กับคิ้วที่ขมวดปมแสดงความไม่พอใจมาก

โหย่วเสี่ยวม้อรีบตอบรับอย่างว่าง่ายในทั้นที

ชายกลางคนไม่มีท่าทีตอบรับ และหันไปเลือกลูกศิษย์ลับระดับกลางในบรรดาเหล่าศิษย์ที่เหลืออยู่ ก่อนที่จะเดินนำออกไปจากหอรวมพลตานซือ

แม้ว่าเขาจะกล่าวว่าให้ติดตามเชา แต่ชัดเจนว่าชายกลางคนไม่ได้มีความคิดที่จะยอมรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์ หลังจากที่โยนพวกเขาให้เป็นภาระของศิษย์ตัวเองที่ชื่อฟางเฉินเล่อแล้ว ก็รีบเดินจากไปทันที ดังนั้นโหย่วเสี่ยวม้ก็ยังคงเป็นศิษย์ลับเหมือนเดิม 

อย่างไรก็ตามโหย่วเสี่ยวม้อยังคงพยายามที่จะขบคิดไปพร้อมกับเดินตามศิษย์พี่

ชายวัยกลางคนคือโคว่เหวิน ผู้ซึ่งสามารถถือได้ว่าเป็นอาจารย์ของเขา ท่านมีชื่อเสียงเล็กน้อยในสำนักเทียนซิน ศิษย์พี่กล่าวว่าท่านมีจิตวิญญาณสีฟ้าเป็นตานซือระดับสูง แม้ไม่อาจเทียบกับจิตวิญญาณสีม่วง แต่ท่านก็กล่าวได้ว่าสามารถปรุงโอสถทิพย์ระดับ 9 ได้ แม้ว่าอัตราที่จะสำเร็จนั้นถือว่าอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี มันไม่มีผลกับตำแหน่งของท่านโคว่เหวินภายในสำนักเทียนซิน 

สำนักเทียนซินยังมีการแบ่งฝ่ายภายในอีก 3 ตำหนัก ประกอบด้วย ตำหนักเทียนเฟิง, ตำหนักเฟยเฟิง และตำหนักเตาเฟิง ตามลำดับ

โคว่เหวินคือผู้นำของตำหนักเตาเฟิง ทุกๆ ปีพวกเขาต้องรับสมัครลูกศิษย์รุ่นใหม่ โดยผู้นำของทั้งสามตำหนักจะไปทำการคัดเลือกด้วยตนเองที่หอรวมพลตานซือ 

อย่างไรก็ตามตำหนักเตาเฟิงถือได้ว่าอ่อนแอที่สุดในทั้งสามตำหนัก ทุกๆ ปีพวกเขาจะมิสิทธิ์คัดเลือกทีหลังสุด เห็นได้ชัดว่าลูกศิษน์ที่เก่งทั้งหมดถูกเลือกไปก่อนโดยตำหนักเทียนเฟิงและตำหนักเฟยเฟิง เช่นเดียวกับเจียงหลิวผู้ซึ่งถูกคัดเลือกไปโดยตำหนักเทียนเฟิง

ดังนั้น ในช่วงนี้ของปีท่านโคว่เหวินมักจะอารมณ์เสียอยู่เสมอที่เลวร้ายที่สุด นั้นเป็นสาเหตุให้เขาเดินออกจากที่พักทันที และจะกลับมาหลังสิ้นสุดการคัดเลือก

"ดูท่าการเป็นอาจารย์ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน" โหย่วเสี่ยวม้อออกมาเบาๆ เขาไม่คิดว่าฟางเฉินเล่อจะหูดีมาก ได้ยินเขากระซิบอย่างชัดเจน ศิาย์พี่ที่ได้ยินก็รู้สึกอดใจที่จะแย่เล่นไม่ได้ เขาจึงกล่าวว่า "อันที่การเป็นอาจารย์ไม่ง่ายนัก ดังนั้นมันขึ้นอยู่กลับพวกเจ้าทุกคน ที่จะนำความภาคภูมิมายังอาจารย์"

"ศิษย์พี่ ท่านต้องทราบว่าพรสวรรค์ของพวกข้าอยู่ในระดับต่ำ" ชายหนุ่มคนที่อยู่ข้างเขาส่ายหัวอย่างเศร้าๆ เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร จากเหตุการณ์ที่เขาได้ร่วมเป็นสักขีพยานในหอรวมพลตานซือ 

ฟางเฉินเล่อตบไหล่ชายคนนั้นเบาๆ แล้วกล่าวว่า "เจ้าต้องไม่สิ้นหวัง จิตวิญญาณเป็นเพียงการวัดระดับพรสวรรค์อย่างเดียว เจ้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกฝน เช่นนั้นเจ้ายังจะมีหวังอยู่ แต่ถ้าเจ้าไม่พยายามในตอนต้น ตอนนั้นก็ไร้สิ้นความหวังสำหรับเจ้าแล้ว"

"ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง" โหย่วเสี่ยวม้อกระซิบเสียงเบาอีกครั้ง

ในชีวิตที่ผ่านมาของโหย่วเสี่ยวม้อก็มีประสบการณ์คล้ายๆ แบบนี้ ดังนั้นเขาจึ่งเขาใจได้เป็นอย่างดี ด้วยหลักการนี้ ดังนั้นเขาจึงต่างจากคนอื่น เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังตั้งแต่เริ้ม 

ฟางเฉินเล่อพยักหน้าอย่างพอใจให้เขาหนหนึ่ง

"ดีละ จากนี้ไปพวกเจ้าทั้งหมดเป็นลูกศิษย์ของตำหนักเตาเฟิง ที่นี้มีกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อ พวกเจ้าจะต้องมีความขยันหมั่นเพียร ค่อยช่วยเหลือกันในยามที่ยากลำบาก และทำงานร่วมกันด้วยความตั้งใจ วันนี้พวกเจ้าเพิ่งมาถึงตำหนักเตาเฟิงเป็นครั้งแรก ตอนนี้พวกเจ้าคงยังไม่คุ้นกับสิ่งต่างๆ ดังนี้วันนี้ข้าจะยังไม่สอนพวกเจ้า เดียวข้าจะบอกให้พวกศิษย์พี่ของเจ้าพาไปทำความคุ้นเคยกับสพื้นที่โดยรอบ แล้วพรุ่งนี้ ข้าจะบอกรายละเอียดให้พวกเจ้าฟังอย่างเป็นทางการ "

หลังจากนั้นไม่นานก็มีศิษย์พี่มาช่วยพาพวกเข้าไปทำความรู้สึกสถานที่ต่างๆ ภายในตำหนัก

บรรยากาศภายในตำหนักเตาเฟิงดีกว่าที่ๆ พวกเจ้าเคยอยู่มาก่อนมาก เพราะตั้งอยู่บนยอดเขา ล้อมรอบด้วยหมอกและปุยเมฆ นกตัวน้อยส่งเสียงร้องอยู่ในป่าบนยอดเขา และโดยเฉพาะอากาศที่ให้ความรู้สึกและสดชื่น

โหย่วเสี่ยวม้อ ไม่รู้สึกง่วงมาสักพักใหญ่แล้ว หลังจากที่เดินไปเล็กน้อย 

หลังจากเดินเล่นประมาณครึ่งชั่วยาม ศิษย์พี่หลี่ก็นำทางพวกเขากลับไปยังที่พัก

เพิ่มเติม :
ผู้ฝึกตน - เหล่าตานซือและชาวยุทธ์ทั้งหลาย
方宸乐 Fāng chén lè Fang ChenLe ฟางเฉินเล่อ
ชื่อตำหนักสองจิตสองใจว่าจะเลือกแบบจากอันไหนดี แต่เลยจากต้นฉบับแล้วกันจะได้ฟังจีนหน่อย แต่ก็คิดชื่อแปลอยู่นะ แดงกับน้ำเงินชื่อไหนดีกว่ากัน
天峰 tiān fēng ตำหนักเทียนเฟิง (ยอดเขาเทียมฟ้า)
飞峰 fēi fēng ตำหนักเฟยเฟิง (ยอดเขาเมฆาล่อง)
都峰 dōu fēng ตำหนักเตาเฟิง (ยอดเขาโลกา)

Comment

เรื่องเล่าโพสเมื่อ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Popular Posts

Contact Us

ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
Mail : mbkrattanakorn@gmail.com