แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ยาคุมกำเนิด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ยาคุมกำเนิด แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

ดีค่ะ วันนี้ก็ขอห่วงใยปัญหาสังคมหน่อยๆ เลยขอเสนอเกี่ยวกับเรื่องยาคุม แต่ในสมัยก่อนไม่ได้มียาคุมแบบเม็ด แล้วทำไมยังคุมกำเนิดได้ ทำได้ไงนะ



  ซิลเฟียม (SILPHIUM) ดูเหมือนจะเป็นยาคุมกำเนิดสุดเจ๋งในประวัติศาสตร์ มันเป็นต้นยี่หร่ายักษ์ที่ชาวกรีกและโรมันโบราณนิยมเอาใบของมันมาสกัดเป็นของเหลวเพื่อใช้เป็นยาคุมกำเนิด พวกเขาชื่นชอบวิธีควบคุมจำนวนประชากรด้วยซิลเฟียมเป็นอย่างยิ่งจนพืชชนิดนี้สูญพันธุ์ไปในที่สุด
     
       แต่ยังมี การคุมกำเนิดแบบพิสดารอื่นๆ ในประวัติศาสตร์อีกหลายอย่างที่ไม่ประสบความสำเร็จและดูเหลวไหลในสายตาของคนยุคปัจจุบัน มาดูกันว่ามีอะไรบ้างและโปรดอย่าลองทำเป็นอันขาด!
     
1. ลำไส้สัตว์
     
       อีกครั้งที่เราต้องยกย่องให้นักรักบันลือโลกแห่งศตวรรษที่ 18 อย่าง จิอาโคโน คาซาโนวา เป็นผู้มีความก้าวหน้าในเรื่องทางเลือกของการคุมกำเนิด คราวนี้เขาใช่ถุงยางคุมกำเนิดที่ทำจากลำไส้ของสัตว์
     
       คนโบราณนิยมนำลำไส้สัตว์และกระเพาะปลามาทำ CONDOM เช่นเดียวกับผ้าลินิน ว่ากันว่าใช้กันมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ (หรือก่อนนั้นด้วยซ้ำ) แต่จนกระทั่งศตวรรษที่17 นั่นแหละที่พวกเขาใช้มันเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์มากกว่าแค่ป้องกันกามโรค
     
       ถุงยางอนามัยสมัยใหม่เพิ่งวางตลาดในกลางศตวรรษที่19 นี้เอง หลังจาก ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ ค้นพบวิธีผสมกำมะถันลงในน้ำยางพาราเพื่อทำให้มันแข็งตัวในปี 1839
     
2. มะนาว
     
       ไม่น่าแปลกใจหรอกที่อย่าง จิอาโคโม คาซาโนวา มีความคิดเกี่ยวกับการคุมกำเนิด เขาอาจเป็นคนแรกที่ค้นพบสรรพคุณในการคุมกำเนิดของมะนาว
     
       น้ำมะนาวอุดมด้วยกรดซิตริค ซึ่งเป็นที่รู้กันในปัจจุบันว่าเป็น “นักฆ่าอสุจิ” ตัวฉกาจ จากการศึกษายุคใหม่พบว่า น้ำมะนาวทำให้อสุจิหยุดเคลื่อนไหวภายในไม่ถึง60วินาที ทำให้มันเป็นยาฆ่าอสุจิ (หรือสารฉีดล้างช่องคลอด) อันมีประสิทธิภาพ
     
       ตัวอสุจิส่วนใหญ่จะใช้เวลา 1 หรือ 2 วันในการว่ายเข้าถึงและปฏิสนธิกับไข่ที่รออยู่ แต่บางตัวอาจว่ายถึงไข่อย่างรวดเร็วใน 30 นาที ดังนั้นน้ำมะนาวจึงมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดไม่ถึง 100% เปลือกมะนาวก็เช่นกัน มันถูกใช้เป็นเครื่องคุมกำเนิดแบบแนวปราการ โดยการสอดเปลือกมะนาวครึ่งซีก (บีบน้ำมะนาวและควักเนื้อออกก่อน) เข้าไปในช่องคลอด แล้วคุณจะได้หมวกครอบปากมดลูกแบบโบราณ แต่ช้าก่อน อย่าได้ลองเป็นอันขาด เพราะมันคุมกำเนิดไม่ได้ผล

3. การย่อเข่าและการจาม
     
       ชาวกรีกโบราณนอกจากจะให้รากฐานของประชาธิปไตยแก่ชาวโลก (แม้มันจะหยั่งรากอย่างยากเย็นในบางประเทศก็ตาม) จัดกีฬาโอลิมปิคครั้งแรกและมีความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกใช้ต่อเนื่องมาจนถึงสังคมปัจจุบันแล้ว พวกเขาก็ยังให้วิธีการคุมกำเนิดแบบพิสดารแก่เราอีกด้วย นั่นก็คือ การจาม
     
       โซเรนัส แพทย์กรีกโบราณอาจสงสัยในประสิทธิภาพการคุมกำเนิดของเครื่องราง แต่เขาก็ไม่อายในคำแนะนำให้ลองเขย่าอสุจิออกมาก่อนที่มันจะสามารถปฏิสนธิกับไข่ที่รออยู่ ไม่ใช่แค่การจามเท่านั้นที่เขาแนะนำ แต่ยังรวมถึงการย่อเข่า การกระโดดขึ้น- ลง หรือแม้แต่การเหวี่ยงขาเตะก้นตัวเอง ให้เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็อย่างที่เรารู้ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าคุณจามแทบสลบหลังจากมีเซ็กซ์ คุณก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้อยู่ดี

4. เพนนีรอยัล
     
       เพนนีรอยัล (PENNYROYAL) เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งในตระกูลสะระแหน่ ( MINT) และน้ำมันที่สกัดจากใบของมัน เคยถูกใช้มาตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ในฐานะยาไล่ยุงและแมลง ใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยและปรุงรสอาหาร
     
       น้ำชาเพนนีรอยัลยังถูกใช้เป็นยาคุมกำเนิดอีกด้วย แม้ว่ามันไม่ถูกใช้เป็นยาคุมกำเนิดโดยตรง แต่ผู้หญิงดื่มมันเป็นน้ำชาหลังเพศสัมพันธ์เพื่อพยายามแท้งบุตร มันได้ผลไหม?
     
       สารประกอบที่พบในเพนนีรอยัลซึ่งเรียกว่า PULEGONE นั้นปัจจุบันรู้กันดีว่าเป็นสารพิษ และสามารถเป็นสาเหตุของโรคลมชักขั้นโคม่า เป็นสาเหตุของตับอักเสบและหลอดเลือดหัวใจล้มเหลว และสามารถสร้างความบาดเจ็บให้แก่อวัยวะต่างๆได้ (อย่างรวดเร็วด้วย)
     
       แน่ละ มันอาจกระตุ้นมดลูกให้ตกเลือดประจำเดือนและทำลายการตั้งครรภ์ได้ แต่มันก็สามารถฆ่าคุณได้ในระหว่างกระบวนการดังกล่าว
     
5. ยาพอกเฮมล็อค
     
       เฮมล็อค (HEMLOCK) เคยถูกใช้อย่างหลากหลายในประวัติศาสตร์ เคยเชื่อกันว่ามันสามารถรักษามะเร็ง บรรเทาโรคซิฟิลิส รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างวัณโรคและรักษาเนื้องอกได้ นอกเหนือจากคุณประโยชน์ทางสุขภาพแล้ว ชาวกรีกโบราณยังใช้มันสำหรับประหารชีวิตนักโทษด้วย
     
       ในศตวรรษที่13 เปโดร ฮูลิอาโอ แพทย์ชาวปอร์ตุเกส ซึ่งต่อมากลายเป็น สันตะปาปา จอห์นที่ 21 เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “สมบัติของคนจน” ซึ่งเป็นตำราการรักษาโรคด้วยสมุนไพรสำหรับคนยากจนที่ต้องการความรู้ทางการแพทย์หรือตั้งใจจะเป็นแพทย์แต่ไม่มีเงินเรียนในระบบ
     
       นอกจากการรักษาโรคด้วยสมุนไพรแล้ว ยังมีวิธีคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายและผู้หญิงรวมอยู่ในตำราเล่มนั้นด้วย การคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายวิธีหนึ่งก็คือ การทายาพอกเฮมล็อคที่ลูกอัณฑะก่อนมีเซ็กซ์ ซึ่งว่ากันว่าจะทำให้ลูกอัณฑะหดและลดความกำหนัด
     
       โชคดีที่ปัจจุบัน ตำราเล่มนั้นไม่มีใครเชื่อถืออีกแล้ว

 6. มูลจระเข้
     
       กาลครั้งหนึ่ง มูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลจระเข้ ถูกเชื่อว่ามีพลังอำนาจพิเศษ ความเชื่อนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้หญิงอียิปต์และอินเดียโบราณ ส่วนหนึ่งในนิยายปรัมปราของมันก็คือ การกล่าวอ้างที่ว่า มูลจระเข้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ และผู้หญิงผสมมันกับน้ำผึ้ง (และอาจมี โซเดียมคาร์บอเนตนิดหน่อย) แล้วสอดลูกกลอนนั้นเข้าไปในช่องคลอดเป็นยาเหน็บ

       มันอาจไม่ใช่ความเชื่อที่เหลวไหลซะทีเดียว และก็ไม่ใช่กลิ่นของมันที่ป้องกันการตั้งครรภ์โดยการทำให้ผู้ชายหมดอารมณ์พิศวาสหรอก เพราะมีการพบว่ามูลจระเข้มีความเป็นกรดสูงและความเป็นด่างของมันอาจมีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าอสุจิ ตัวมูลเองก็อาจสกัดกั้นอสุจิบางตัวมิให้ว่ายไปถึงจุดหมายปลายทางของพวกมันได้ด้วย
     
       ขอบคุณพระเจ้าที่ความเชื่อนี้กลายเป็นความเหลวไหลไปแล้ว
     
7. อัณฑะวีเซล
     
       นี่คือ การคุมกำเนิดอีกวิธีหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในยุคกลาง (ประมาณ ค.ศ. 1200-1500) มีความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้โดยการผูกเครื่องรางชนิดหนึ่งไว้ที่ต้นขา
     
       เครื่องรางวิเศษนี้ทำจากลูกอัณฑะทั้งสองของวีเซล (สัตว์ป่าตัวเท่าแมวแต่หน้าเหมือนหนู) และ/หรือ กระดูกซี่โครงของแมวดำปลอด (ข้อนี้สำคัญ ต้องเป็นแมวดำทั้งตัวเท่านั้น) และขี้หูของล่อ (ลูกของลาตัวผู้กับม้าตัวเมีย)
     
       ตามตำราไสยศาสตร์ผู้หญิงสามารถหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ได้โดยการห้อยอัณฑะวีเซลไว้ที่คอ ถ้าเธอไม่มีขี้หูล่อ หรือแมวดำ
     
       วีเซลทั่วโลกน่าจะขอบคุณมนุษย์ที่ วิธีคุมกำเนิดแบบนี้ไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไปแล้ว
     
8. โคคา-โคล่า

       การฉีดล้างช่องคลอด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงกรีกและโรมันโบราณ และยังเป็นวิธีที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมสมัยใหม่ด้วยซ้ำ (แม้ว่าจะผสมคาร์บอนเนตมากขึ้นก็ตาม) ในตอนที่เข้าสู่ยุคแห่งการฉีดล้างช่องคลอดด้วยโคคา-โคล่า ซึ่งนิยมทำกันระหว่างทศวรรษที่ 1950 ถึง 1960 โดยวิธี “เขย่าแล้วฉีด”
     
       โคคา-โคล่าที่บรรจุขวดแก้วแบบนักแข่งรถชอบทำกับขวดแชมเปญหลังรับรางวัลชนะเลิศนั่นแหละ
     
       ในปี 2008 มันถูกค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่าโคคา-โคล่า ฆ่าอสุจิได้จริงๆ แต่สูตร DIET COKE ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะโค้กที่ทำด้วยน้ำตาลจะฆ่าอสุจิได้ดีพอในหลอดทดลอง
     
       แต่ในช่องคลอดมันไม่สามารถฆ่าอสุจิได้เร็วพอ จึงปล่อยให้อสุจิจำนวนหนึ่งว่ายต่อไปได้ กลายเป็นทางเลือกที่ไม่ดีพอสำหรับการคุมกำเนิด (และนั่นยังไม่รวมถึงปัญหาทางสุขภาพอันเกิดจากการเอาปากขวดเครื่องดื่มแหย่เข้าไปในช่องคลอดของคุณ)

9. ยาเหน็บอะเคเซียกับน้ำผึ้ง
     
       ชาวอียิปต์โบราณอาจเป็นประชากรโลกพวกแรกที่ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบสิ่งกีดขวาง มีหลักฐานที่เขียนไว้ในกระดาษปาปิรัส เมื่อ 1550 ปี ก่อน ค.ศ. เรื่องผู้หญิงใช้ยาเหน็บช่องคลอดที่ทำจากใบอะเคเซีย (พืชจำพวกต้นยางอาหรับ) ผลอินทผลัมและน้ำผึ้งเพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์
     
       เส้นใยอย่างขนสัตว์หรือฝ้ายเคยถูกคลุกเคล้าด้วยส่วนผสมของใบอะเคเซีย อินทผลัมและน้ำผึ้งแล้วสอดเข้าไปในช่องคลอดคล้ายๆ ผ้าอนามัยแบบสอด (TAMPON) ยาเหน็บแบบนี้ฟังดูบ้าดี เมื่อมันถูกสอดเข้าที่มันก็จะทำหน้าที่เหมือนหมวกปากมดลูกของสมัยใหม่อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ
     
       เส้นใยจะสกัดกั้นอสุจิมิให้เข้าสู่ปากมดลูก และน้ำผึ้งจะยึดยาคุมกำเนิดชนิดนี้ให้อยู่กับที่ แต่ใบอะเคเซียของมันนี่เองที่เป็นตัวยาคุมกำเนิดอันมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าอะเคเซียเมื่อถูกหมัก จะมีกรดแลคติก ซึ่ง เมื่อสัมผัสกับอสุจิจะทำให้มันหยุดการเคลื่อนไหว ไม่สามารถว่ายไปหาไข่ได้ ทำให้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้เป็น ยาฆ่าอสุจิตำรับแรก
     
       แต่ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว ผลอิทผลัมกับน้ำผึ้งจึงถูกกินอย่างหอมหวานเพียงอย่างเดียว
     
10. ไลซอล
     
       คุณอาจใช้ไลซอล (LYSOL) สำหรับทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในห้องน้ำหรือบนพื้นห้อง แต่กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มันถูกใช้เป็นยาคุมกำเนิดเช่นกัน
     
       ไลซอลโฆษณาน้ำยาฆ่าเชื้อของมันว่าเป็นผลิตภัณฑ์อนามัยสำหรับผู้หญิงในต้นศตวรรษ ที่ 20 และระหว่างทศวรรษที่ 1930 กับ 1960 เมื่อยาคุมกำเนิดแบบกินทางปากปรากฏตัวครั้งแรกในตลาด และการฉีดล้างช่องคลอดด้วยไลซอล เป็นทางเลือกยอดนิยมในการคุมกำเนิดของผู้หญิง
     
       จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1950 ไลซอลบรรจุส่วนผสมที่เรียกว่าเครซอล (CRESOL) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังไหม้ พุพอง แสบร้อนและมีพิษถึงตายได้ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับสูตรนุ่มนวลที่โฆษณาโดยผู้ผลิต หลังปี 1953 พวกเขาก็เปลี่ยนสูตร แต่มันก็ยังมีอันตรายเมื่อใช้กับร่างกายมนุษย์ทั้งภายในและภายนอก และนอกจากผลกระทบอันเป็นพิษของมันแล้ว ไลซอลก็ไม่ใช่ยาคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพแต่อย่างใด
     
       ทั้งหมดนี้จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจคุณผู้หญิงในยุคปัจจุบันว่า ก่อนที่จะเอาอะไรใส่เข้าไปในน้องหนู โปรดพิเคราะห์ดูให้รอบคอบว่าสมควรปล่อยให้มันเข้าไปหรือไม่




วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

ดีค่ะ วันนี้นั่งอ่านนิยายเพลินๆ ก็ไปเจอประโบคหนี่งที่กล่าวเกี่ยวกับการคุมกำเนิดในเพศชาย นอกจากใส่ถุงยางแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?? เลยลองค้นดูในกลูเกิ้ลก็พบวิธีนั้นมีอยู่จริง แต่ก็มีผลค้างเคียงนะคะ ลองอ่านดู




เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวฮือฮาในวงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการทำยาเม็ดคุมกำเนิด และตื่นเต้นไปทั่วโลก ที่ทราบว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือจีนแดง ประสบความสำเร็จครั้งแรกของโลกในการผลิตยาเม็ดแบบรับประทานได้สำหรับคุมกำเนิดในผู้ชายได้ ยาเม็ดชนิดนี้ไม่เคยมีมาก่อน มีแต่ยาเม็ดคุมกำเนิดในเพศหญิงเท่านั้น และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้น ยาคุมกำเนิดนี้ได้มาจากสมุนไพร คือ เมล็ดฝ้าย หาได้ง่ายๆ และเป็นวัสดุที่คนไม่ค่อยคิดถึงประโยชน์เท่าใดนัก เพียงแต่นำมาสะกัดเอาน้ำมันมาปรุงอาหารเท่านั้นเอง

ในการค้นคว้ายาคุมกำเนิดกันอย่างกว้างขวางในสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา (ปี ค.ศ. ๑๙๕๐) มีหมอจีนคนหนึ่งค้นพบยาคุมกำเนิดนี้โดยบังเอิญ เนื่องจากหมอจีนคนนี้ได้ทำการรักษาคนป่วยในเจียงสู ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของจีน เขาได้สังเกตปรากฏการณ์อย่างน่าสนใจมาก พบว่าผู้หญิงผู้ชายที่อยู่ในจังหวัดนี้แต่งงานกันจะเป็นหมันหมด ไม่มีลูก และผู้ที่เป็นหมันมักมีนิสัยชอบใช้น้ำมันจากเมล็ดฝ้ายมาปรุงอาหารกินเสมอ หมอจีนผู้นี้จึงตั้งข้อสงสัยว่า อาหารที่มีน้ำมันเมล็ดฝ้ายอาจเป็นสาเหตุของการเป็นหมันก็ได้

ข้อสงสัยของหมอในเจียงสูก็ได้รับการยืนยันจากหมออีกหลายท่านในฮูไปว่า น้ำมันจากเมล็ดฝ้ายนั้นอาจเป็นสาเหตุของการเป็นหมันจริง โดยเขาได้สังเกตเพิ่มเติมว่า หญิงสาวที่มาจากครอบครัวที่ใช้นํ้ามันเมล็ดฝ้ายปรุงอาหารมาตลอด แต่งงานกับชายในจังหวัดอื่นที่ไม่ได้บริโภคนํ้ามันจากเมล็ดฝ้ายสามารถมีลูกได้อัตราปกติ ส่วนหญิงสาวกับชายหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกันแต่งงานกันจะเป็นหมันเสมอ พอนักวิทยาศาสตร์จีนได้พบรายงานนี้ก็ทำให้เขาตื่นตัว ร่วมมือกันทำการวิจัยทดลองเมล็ดฝ้ายนี้เป็นการใหญ่ ซึ่งเขาคาดว่าถ้าเป็นจริงอย่างรายงานเขา ก็จะหาหนทางที่จะนำสารสกัดจากเมล็ดฝ้ายมาเป็นยาคุมกำเนิด โดยเขาเริ่มทำการวิจัยเป็นลำดับ ขั้นต้นนี้คือ สะกัดแยกสารออกเป็นส่วนๆ ทำให้บริสุทธิ์ ทดลองในสัตว์ทดลองเช่น หนู คน อาสาสมัคร เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและผลภัยที่อาจเกิดขึ้นได้

ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๗๑ เขาก็สามารถแยกสารชนิดหนึ่งออกมาได้ เป็นสารบริสุทธิ์สีเหลือง ไม่มีรส เขาให้ชื่อว่า ก๊อสซี่พอล (gossypol มาจาก Gossypol เป็นชื่อของฝ้าย) สารนี้ได้มาจากน้ำมันดิบจากเมล็ดฝ้าย และอาจได้จากส่วนอื่นๆ เช่น ราก ลำต้นของฝ้าย

ในปีเดียวกันนี้เอง (๑๙๗๑) นักวิทยาศาสตร์ของภาควิชาเภสัชวิทยาของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน นำเอากอสสิปอล หรือ กอสสิปอลแอ ซิเตท หรือกอสสิปอลฟอมเมท มาทำเป็นยาเม็ดทดลองในสัตว์ทดลอง เช่น หนู โดยเขาให้หนูตัวผู้กินสารกอสซิปอลขนาด 15-60 mg./วัน เป็นเวลานาน ๒-๔ สัปดาห์ (จะเป็นหมันเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับขนาดของกอสซิปอลที่ให้กิน ) แล้วนำหนูเหล่านีไปใส่ไว้ในกรงเดียวกับตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ เปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้กินยานี้ แล้วให้อยู่ในสภาวะเดียวกัน หนูที่กินสารกอสซิปอลคู่ของมันจะไม่ตั้งท้องมีลูกเลย ในขณะที่หนูตัวอื่นที่ผสมพันธุ์ กับหนูที่ไม่ได้กินสารนี้มีลูกเป็นครอกๆ ละ ๗- ๘ ตัว ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองทั้งหลายต่างดีใจที่ได้ผลการทดลองในหนูเช่นนี้ จึงทำให้นึกถึงในคนก็คงจะได้ผลเช่นเดียวกัน

นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมิหยุดอยู่แค่นี้ เขาพยายามที่จะทราบต่อไปว่าสารกอสซิปอลนี้ มีผลต่ออวัยวะเพศของตัวผู้จนทำให้เป็นหมันโดยไม่ต้องตอน โดยการเอาหนูที่เป็นหมันนั้นมาผ่าดูลักษณะภายในถุงอัณฑะ พบว่าเชื้ออสุจินอนตายเต็มไปหมด เชื้ออสุจิบางตัวยังมีชีวิตอยู่ ก็มีลักษณะพิกลพิการ หางขาดหัวขาดไม่สมประกอบ ทำให้ไม่มีเชื้ออสุจิสามารถว่ายน้ำไปยังรังไข่ได้เลย

เขาทดลองต่อไปว่า ถ้าหยุดยากอสซิปอลจะมีผลอย่างไรบ้าง โดยเขาให้หนูตัวผู้ ดังกล่าวหยุดกินยาประมาณ ๓-๕ สัปดาห์ แล้วนำมาผสมพันธุ์ใหม่ ปรากฏว่าหนูตัวเมียที่ถูกผสมมีลูกออกมาได้อย่างปกติ แสดงว่าความเป็นหมันในหนูตัวผู้นี้เป็นแบบชั่วคราว เมื่อหยุดยาแล้วร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวคืนสู่สภาพเดิมของร่างกายได้ เมื่อตรวจดูเชื้ออสุจิพบว่าเชื้ออสุจิที่เกิดใหม่ก็ยังมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง เป็นปกติเหมือนเชื้ออสุจิทั่วๆ ไป และลูกหนูก็ได้นำมาผสมพันธุ์ ก็ได้ลูกหนูครอกต่อๆ มาในสภาพที่ปกติทุกประการ ไม่มีการผิดปกติทางกรรมพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ในหนูที่กินยากอสซิปอล แม้จะกินยาวันละ 75 mg. นานถึงหนึ่งปีก็ตาม จะไม่มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นเลย ฉะนั้น จึงเป็นที่ยอมรับว่าสารก๊อสซิปอลนี้สามารถทำลายเชื้ออสุจิได้ และฤทธิ์ของยานี้มีชั่วคราว และเชื้ออสุจิที่เกิดใหม่ ก็ไม่รับผลกระทบกระเทือนจากการทานยานเลย

การทดลองของเขามิได้หยุดอยู่แต่การสรุปผลในสัตว์ทดลองเท่านั้น เขาได้นำมาทดลองในผู้ชายอาสาสมัคร โดยเริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ นี้เอง ชายอาสาสมัครต้องมีสุขภาพ แข็งแรง สมบูรณ์ อายุ ๓๐-๔๙ ปี เคยมีลูกมาแล้วอย่างน้อย ๑ คน และจะเอามาจากอาชีพต่างกัน เช่น ชาวนา คนงาน กรรมกร ทหาร นักวิชาการ และแพทย์ ในจำนวนชายอาสาสมัครมากกว่าหมื่นกว่าคนจากจังหวัดต่างๆ ให้อาสาสมัครทุกคนรับยาก๊อสซิปอลนี้ วันละ 20 mg. จากการดูผลมาเปนเวลากว่า ๔ ปี พอสรุปได้วาอาสาสมัครจะเริ่มเป็นหมันเมื่อกินยาติดต่อกัน ๒ เดือน จากการตรวจดูเชื้ออสุจิก็พบว่าเชื้อส่วนมากตายหรือก็ลดจำนวนลงทำให้มีเชื้ออสุจิไม่เกิน ๔ ล้านตัว ในชายอาสาสมัครบางคนต้องการระยะเวลาในการกินยาก๊อสซิปอลนานกว่า จึงจะเกิดภาวะการเป็นหมันได้ จากการทดลองได้ผล ๙๙.๘๙% หลังจากเป็นหมันแล้ว ถ้าต้องการภาวะการเป็นหมันไปเรื่อย ให้กินยาก๊อสซิปอลนี้ประมาณ 5 – 7mg. /วัน (150 – 220 mg. /เดือน) ถ้าต้องการให้มีลูกได้อีกก็หยุดกินยาเป็นเวลา ๓ เดือน ร่างกายจึงจะปรับตัวกลับเข้าสู่สภาพการผลิตเชื้ออสุจิได้อีกตามปกติมีลูกได้อีก ชายอาสาสมัครที่ทดลองยาก๊อสซิปอล จะมีสภาพแข็งแรงสมบูรณ์เป็นชายชาติอาชาไนยเหมือนเดิม

หมายเหตุ มีชายอาสาสมัคร ๒-๓ คน ที่หยุดยาแล้วยังไม่ยอมสร้างเชื้ออสุจิจนกว่าจะครบ ๑ ปี

อาจจะเป็นเพราะความคงตัวของยาก๊อสซิปอลนี้ค่อนข้างสูง มีการสลายตัวน้อยมาก ในทางเดินอาหาร ดูดซึมค่อนข้างช้า การขับออกจากร่างกายก็ช้าด้วย ใช้เวลา ๑๙ วัน จึงจะขับออกจากร่างกาย ๙๗.๒๔% ของทั้งหมด เป็นยาที่อยู่ในร่างกายนาน ถ้ากินยานี้ติดต่อกันนานๆ ยานี้จะสะสมอยู่ในร่างกายมาก กระจายไปอยู่ในอวัยวะต่างๆ คือ สะสมที่ตับมากที่สุด ที่ปอด หัวใจ ไต เลือด และในไขมัน แต่ไม่พบยานี้ในสมองเลย ส่วนในถุงอัณฑะจะมี การสะสมยานี้น้อยใน ๒ วันแรก และเพิ่มจนถึงขีดสูงสุดในวันที่ ๙ ของการกินยานี้ ยานี้สามารถขับออกได้ทางอุจจาระมากที่สุด และขับออกบ้างทางปัสสาวะ และปอด

ปฏิกริยาข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนของยานี้ จะเกิดขึ้นในวันแรกๆ ของการกินยานี้ คือ

มีอาการอ่อนเพลียชั่วคราว              ๑๒.๘% ของผู้ทดลอง

มีอาการเบื่ออาหาร                          ๒.๐% ของผู้ทดลอง

มีอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้น            ๓.๐% ของผู้ทดลอง

มีอาการคลื่นไส้                               ๑.๐% ของผู้ทดลอง

มีความรู้สึกทางเพศลดลง               ๖.๐% ของผู้ทดลอง

มีปริมาณของโปตัสเซี่ยมในเลือดลดลง ๑.๐% ของผู้ทดลอง จึงทำให้มีอาการอ่อนเพลียนานกว่าเดิมมาก ฉะนั้นหมอจึง

แนะนำให้กิน KCI ควบคู่ ไปกับยานี้เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน

ถึงแม้จะทำการทดลองยาเม็ดคุมกำเนิดจากเมล็ดฝ้าย สำหรับเพศชายมาถึงขั้นนี้แล้วก็ตาม การทดลองวิจัยยังคงมีต่อไปอีกจนกว่าเราจะมีความมั่นใจว่าปลอดภัยและเชื่อถือได้

มีข่าวว่ายาก๊อสซิปอลนี้ผู้หญิงกินได้

ผลการวิจยยาเม็ดคุมกำเนิดจากเมล็ดฝ้ายนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่มนุษย์รู้จักเอาพืชสมุนไพรมาทำให้เป็นประโยชน์อย่างถูกต้องในทางการแพทย์ได้สำเร็จ

พืชสมุนไพรยังมีอีกมากมายในบ้านเราที่ยังรอความหวังจากนักวิจัยที่จะเอามาทดลองดูว่ามีคุณค่าหรือประโยชน์ทางยาเพื่อการนำมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจังให้มากที่สุดต่อไป

Comment

เรื่องเล่าโพสเมื่อ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Popular Posts

Contact Us

ถ้าข้อความใดไม่ถูกต้องแจ้งได้ที่
Mail : mbkrattanakorn@gmail.com